นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างบริษัทไทยและต่างชาติในกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์” เพื่อสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย มีโอกาสในการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถยกระดับเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและตอบโจทย์ยานยนต์สมัยใหม่ได้
มาตรการส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างบริษัทไทยและต่างชาติในกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ จะครอบคลุมทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แบบสันดาปภายในและผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 โครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยเป็นการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่หลังวันที่ออกประกาศ ต้องเป็นการร่วมทุนระหว่างผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยและต่างชาติ โดยมีนิติบุคคลไทยถือหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30% ของทุนจดทะเบียน
กรณีที่ 2 โครงการที่ได้รับการส่งเสริมอยู่เดิมในกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเดิมเป็นหุ้นต่างชาติทั้งสิ้น และประสงค์จะร่วมทุนกับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30% ของทุนจดทะเบียน
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลไทยตามเงื่อนไขของมาตรการนี้ ต้องจัดตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี นับจนถึงวันยื่นคำขอ และต้องมีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 60% ของทุนจดทะเบียน โดยทั้งสองกรณี จะต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในปี 2568 สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ คือ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์ปกติอีก 2 ปี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘บอร์ดอีวี’ เคาะมาตรการลดภาษีรถ HEV คาดหนุนการลงทุน 5 หมื่นล้าน
สำหรับ ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี กลุ่มผู้ประกอบการที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยกว่า 1,300 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs ที่ผลิตชิ้นส่วนในระดับ Tier 2-3 ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยปรับตัวและพัฒนาให้ก้าวทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างรวดเร็ว คือการเปิดโอกาสให้มีการร่วมทุนระหว่างบริษัทไทยและผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากร การขยายเครือข่ายทางธุรกิจ การเพิ่มโอกาสในการใช้วัตถุดิบในประเทศ และจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และก้าวเข้าสู่ Supply Chain ในระดับโลกได้