ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเริ่มเดือดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากค่ายรถยนต์จากประเทศจีนหันมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาขายในไทย พร้อมส่งออกขายทั่วโลก ล่าสุดแบรนด์รถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง CHERY ออกมาประกาศแล้วว่าจะเดินหน้าบุกตลาดประเทศไทยตั้งแต่ปี 2024 และขอขึ้น1ในตลาดรถEV
ด้วยการเดินหน้าหาพันธมิตรด้านโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย เพื่อทำตลาดรถยนต์ใน 2 แบรนด์ในเครือ CHERY ได้แก่แบรนด์ OMODA และ JAECOO แทนการใช้แบรนด์ CHERY เหมือนกับการทำตลาดในประเทศอื่นๆ
Autolifethailand.tv มีโอกาสได้พูดคุยกับ มร. Qi Jie International Director OMADA & JAECOO International เกี่ยวกับแผนการทำตลาดรถยนต์ CHERY ในประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้ ทำให้เราได้รู้จักแบรนด์ CHERY มากขึ้น โดยในวันนี้เราได้เห็น “แผน” การใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยซ้ายและขวา เพื่อส่งออกไปทั่วโลก ด้วยตัวเลขสูงถึงปีละ 100,000 คัน!! ในปี 2030 หรืออีกเพียงแค่ 7 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตามในปีนี้ ในวันนี้ฝันของ CHERY กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เพราะถึงวันนี้ยังไม่ได้มีการตั้งบริษัทใดๆ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่คาดว่า บริษัทที่จะตั้งขึ้นมาในไทยจะใช้ชื่อ CHERY THAILAND โดยบริษัทนี้คาดว่าจะสามารถตั้งได้ภายในปี 2023 นี้ และในระหว่างนี้จะเดินหน้าหาพันธมิตรด้านโรงงานผลิตรถยนต์ 2 แบรนด์คือ OMODA และ JAECOO (เจโก้) เพื่อทำตลาดในไทยและส่งออกทั่วโลก
สำหรับพันธมิตรด้านโรงงานผลิตนั้น กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา กับโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย (local partner) ก่อน โดยพันธมิตรที่ว่าก็คือ อรุณพลัส ของกลุ่ม ปตท. เพื่อขึ้นไลน์การประกอบรถยนต์ไฟฟ้า OMODA 5 ภายในไตรมาส 3 ของปี 2024 หลังจากนั้นจะประกอบ JAECOO ซึ่งเป็นรถในกลุ่ม SUV ในช่วงปลายปี 2024 เช่นกัน โดยตั้งเป้าการผลิตในปีแรกไว้ที่ 20,000 คัน แบ่งเป็นการจำหน่ายในไทย 18,000 คัน ภายใน 2 ปี หรือตกปีละ 9,000 คัน
มร.Qie บอกต่อว่า จะเริ่มตลาดรถยนต์ไฟฟ้า OMODA 5 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2024 เป็นต้นไป โดยเป็นการนำเข้าจากประเทศจีนเข้ามาจำหน่ายก่อน ซึ่งคู่แข่งของ OMODA 5 ก็คือ BYD DOLPHIN โดยจุดแข็งของ OMODA 5 ก็คือการออกแบบที่ทันสมัย ทั้งภายใน ภายนอก และความโดดเด่นในเรื่องของแบตเตอรี่ และการขับเคลื่อน โดย OMODA 5 สามารถวิ่งได้ไกล 510 กม./ชาร์จ
แต่สิ่งที่น่าสนใจของการทำตลาด OMADA และ JAECOO ก็คือ “ขุมพลัง” ของรถทั้ง 2 แบรนด์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียง EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังจะมีทั้งเทคโลยี PHEV และ HEV ด้วยโดย JAECOO7 ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV รุ่นแรกที่จะประกอบในไทยช่วงไตรมาส 3 นั้นจะใช้เทคโนโลยี PHEV ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าจะใช้เครื่องยนต์รุ่นใดเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน 1.5T หรือ 2.0T +แบตเตอรี่ รวมถึง OMODA 5 ก็จะมีเครื่องยนต์ HEV ด้วย หลังจากที่เปิดตลาดด้วย EV โดยคาดว่าจะประกอบ OMODA 5 HEV ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2024 ขณะที่ JAECOO8 จะขึ้นไลน์การประกอบในต้นปี 2025 จะใช้เทคโนโลยี HEV
โดยเทคโนโลยี PHEV ของ JAECOO นั้นมีประสิทธิภาพสูงเอาเรื่องเหมือนกัน ทั้งในเรื่องของพละกำลัง และความประหยัด โดยสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 4.26 วินาที มีแรงบิดมากถึง 510 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 1,400 กิโลเมตร สำหรับน้ำมัน 1 ถัง กับ แบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็ม
ซึ่งแผนการเปิดเทคโยโลยี ที่หลากหลายเช่นนี้เชื่อได้ว่าจะทำให้ OMADA และ JAECOO มีโอกาสทำตลาดในตลาดไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศได้มากขึ้น เพราะในงวันนี้แม้ว่ารถ EV จะเติบโตไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเทคโนโลยีเครื่องยนต์อื่นๆ จะหมดความสำคัญลง ความพร้อมของลูกค้าไม่ได้เจาะจงแต่เพียงรถ EV เท่านั้น แต่รถ EV คือใบเบิกทางทีทำให้แบรนด์รถยนต์จากจีน ก้าวออกไปสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น
ในวันนี้ ทาง CHERY ยังไม่เปิดเผยเรื่องงบประมาณการลงทุนในไทยว่าจะใช้งบประมาณเท่าใด เนื่องจากยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับโรงงาน แต่ก็มีแผนการผลิตมา “วาดฝัน” ให้เราเห็น โดยเฟสแรก ในปี 2024-2025 จะประกอบรถ SUV+New energy ในรูปแบบ CKD ด้วยกำลังการผลิต 20,000 คัน/ปี แบ่งเป็นขายในประเทศ 18,000 คัน
ส่วนเฟส 2 ในปี 2026-2027 จะเป็นการผลิตเพื่อขยายสู่ตลาดอาเซียน โดยตั้งเป้าการผลิตไว้ที่ 50,000 คัน/ปี แบ่งเป็นขายนประเทศ 45,000 คัน และส่งออก 5,000 คัน
และเฟสที่ 3 ในปี 2028-2030 จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกทั่วโลก โดยตั้งเป้าการผลิตไว้ที่ 100,000 คัน ซึ่งจะเป็นการผลิตรถยนต์ทั้งพวงมาลัยซ้าย และพวงมาลัยขวา และแบ่งเป็นการขายในประเทศ 60,000 คัน ส่งออก 25,000 คัน นั่นคือแผนที่ทาง OMADA และ JAECOO ตั้งไว้ว่าจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต
อย่างไรก็ตาม มร.Qi ย้ำว่า CHERY มีรถยนต์ในเครือมากมาย ไม่ได้มีแค่ OMADA และ JAECOO เท่านั้น ดังนั้นหากศึกษาแล้วพบว่า รถรุ่นใด แบรนด์ใด เหมาะสมที่จะนำมาทำตลาดในประเทศไทยก็จะนำแบรนด์นั้นเข้ามาทำตลาดเช่นกัน รวมถึงแบรนด์ CHERY ด้วย
ขณะที่แผนการทำตลาดในประเทศไทยนั้นขณะนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น ตั้งอต่การเจรจากับโรงงานประอบ การตั้งบริษัทในประเทศไทย การเจรจากับภาครัฐ อย่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในเรื่องสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนต่างๆ รวมถึงการ้ข้าร่วมโครงการารสนับสนุนการใช้รถไฟฟ้าของภาครัฐด้วย
ด้านการจัดจำหน่ายรถยนต์ OMADA และ JAECOO ในประเทศไทยนั้น ทางบริษัทจะแต่งตั้งดีลเลอร์สำหรับการจำหน่ายในบ้านเรา โดยจะเริ่มหาดีลเลอร์ในเดือนตุลาคมนี้ โดยมีแผนเปิดดีลเลอร์ประมาณ 15-20 แห่งในปี 2024 และมีโชว์รูมประมาณ 30-40 แห่ง
ทั้งนี้ทาง CHERY ตั้งเป้าขึ้นเป็น 1 ใน 3 ตลาดรถ EV ในปี 2024