Audi Concept C
หลังจากที่ยุติการผลิต R8 และ TT ไปจนค่ายสี่ห่วงแทบไม่เหลือรถสปอร์ตไว้ทำตลาดเลย แต่นั่นกำลังจะกลายเป็นอดีตแล้วเพราะ Audi ได้เปิดตัวรถสปอร์ต้นแบบคันล่าสุดในชื่อ Concept C เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2025 ที่ผ่านมา พร้อมกับระบุว่านี่ไม่ใช่เพียงรถยนต์ต้นแบบเชิงศึกษา ที่สะท้อนให้เห็นปรัชญาการออกแบบในอนาคตของค่ายเท่านั้น แต่จะยังเตรียมพัฒนาต่อจนออกจำหน่ายจริงในปี 2027 อีกด้วย โดยเน้นความเรียบง่าย Minimal Design และ รักษาเอาไว้เฉพาะสิ่งที่จำเป็น
Concept C มีเส้นสายตัวถังสะอาดตา และ ไม่มีองค์ประกอบปลีกย่อยเท่าไหร่นัก ด้านหน้ามีลักษณะตัดตรงแบบหน้าตั้ง พร้อมช่องดักลมลักษณะคล้ายตัว U เชื่อมต่อเข้ากับไฟหน้าแนวนอน 4 จุด และ มีกระจังหน้าแนวตั้งแยกอยู่ตรงกลาง ซึ่งอาวดี้ระบุว่านี่จะเป็นอัตลักษณ์แบบใหม่ของค่าย ด้านข้างเรียบเนียนมีเพียงโป่งล้อที่ยื่นออกมาเท่านั้น หลังคามีลักษณะคล้าย Targa ของ Porsche ที่ถอดแผงหลังคาส่วนกลางออกได้ พร้อมแปลงร่างจากรถสปอร์ตหลังคาแข็ง เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุน




ด้านท้ายของ Concept C ไม่มีกระจกหลัง พร้อมออกแบบให้แนวหลังคาลาดลง และ มีครีบระบายอากาศ 3 ชั้น สไตล์รถสปอร์ตขุมพลังวางกลาง ส่วนกระจกบานหลังไม่มี และ แทนที่ด้วยกล้องแทน ไฟท้ายเป็นแถบเพรียวยาวพร้อมกราฟฟิกไฟ 4 จุดเหมือนกับด้านหน้า ปิดท้ายด้วยดิฟฟิวเซอร์หลังขนาดใหญ่ ซึ่งกินพื้นที่มากกว่าครึ่งของกันชนหลัง ห้องโดยสารเน้นความเรียบง่ายเช่นกัน เพื่อให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในการขับขี่สูงสุด พวงมาลัยมาในทรง 3 ก้านเรียบง่าย พร้อมมาตรวัดดิจตอลขนาดไม่ใหญ่นัก
หน้าจอสัมผัสใน Concept C มีขนาด 10.4 นิ้ว สามารถซ่อนเก็บได้เมื่อไม่ใช้ ตัวแดชบอร์ดสะอาดตาไม่ปรากฎองค์ประกอบใด โดยด้านล่างเป็นแถบอะลูมิเนียมแบบด้านเรียบง่าย พร้อมผนวกแผงควบคุมระบบต่างๆ เอาไว้ ตัวเบาะและแผงประตูยังหุ้มด้วยผ้า ทั้งยังมีไฟ Ambient Lighting พร้อมคอลโซลกลางแบบยกสูง แยกฝั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารออกเป็นสัดส่วน


















ในส่วนของขุมพลังยังไม่มีการกล่าวถึง แต่ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเวอร์ชั่นผลิตจริง จะขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฟฟ้า100% EV พร้อมทั้งใช้งานวิศวกรรม แพลตฟอร์มร่วมกับ Porsche 718 Boxster / Cayman รุ่นถัดไป และ นี่อาจเป็น Audi TT Electric ที่เตรียมจะเปิดตัวในปี 2027 ก็เป็นได้
รอติดตามชมกันได้ในช่วงปี 2027 เป็นต้นไป หากมีข้อมูลเพิ่มเติม ทีมงาน autolifethailand จะรีบนำมารายงานให้ทราบกันครับ








ที่มา: Audi









