ย้อนกลับไปในการเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการในประเทศไทยของแบรนด์ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์สัญชาติจีนอย่าง โอโมดา แอนด์ เจคู (OMODA & JAECOO) ในปี 2567 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลารวมราวปีเศษ มียอดขายสะสมอยู่ที่ 4,000 คัน แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้เป็นสัดส่วนหลักของจำนวนดังกล่าวจาก
Autolifethailand ได้สัมภาษณ์พิเศษ “พิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน” รองประธานบริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้มุมมองว่าในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยลบหลากหลายประการทั้งการ อนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน (ไฟแนนซ์) และ กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : JAECOO5 EV รถไฟฟ้า100% ราคาอย่างเป็นทางการ : 549,000 – 599,000 บาท | B-SUV ภาพรถคันจริง
ผ่านไปในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม–มิถุนายน) บริษัทมียอดขายสะสมอยู่ที่ 3,000 คัน จาก OMODA C5 EV และ JAECOO 6 EV ในสัดส่วน 50% : 50% โดยต้องยอมรับว่าที่ผ่านมากลยุทธ์การตั้งราคาจำหน่ายโดยเฉพาะ OMODA C5 EV ที่อาจจะยังไม่ถูกต้อง ซึ่งภายหลังการปรับฐานราคาให้ถูกต้อง จึงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
ทั้งนี้ ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายไว้อยู่ที่ 10,000 คันซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทวางไว้โดยกลยุทธ์การกำหนดราคาที่ถูกต้องตั้งแต่เปิดตัวในครั้งแรกเข้าถึงได้ง่ายตามกลุ่มเป้าหมายและให้ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลเรื่องการลดราคา
ดังนั้นจึงสะท้อนออกมาในการเปิดตัว JAECOO 5 EV รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก (B-SUV) แต่มีราคาเทียบเท่ากับรถยนต์ขนาดเล็ก (A-Segment) ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 5.49-5.99 แสนบาท สำหรับ 1,000 คันแรก ที่จองและรับภายใน 30 กันยายน 2568 จากราคาปกติเริ่มต้นที่ 6.29-6.79 แสนบาท โดยตั้งเป้ายอดขายไว้อยู่ที่ 1,000 คันต่อเดือน
นอกเหนือจากการตั้งราคาที่ถูกต้องเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อที่ไม่ต้องลังเลและกังวลแล้วนั้น ยังได้มีการขยายศูนย์จำหน่ายและบริการ (ดีลเลอร์) ในการขยายโชว์รูมจากปีที่ผ่านมามีจำนวน 30 แห่งทั่วประเทศ เป็น 45 แห่งในปัจจุบัน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 แห่งภายในสิ้นปี 2568 นี้
รวมถึงยังได้ทำงานร่วมกับพนธมิตรทางธุรกิจขนส่งรายใหญ่ในการส่งชิ้นส่วนอะไหล่ เพื่อป้องกันปัญหาการรออะไหล่นานสำหรับผู้บริโภค เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดในด้านบริการหลังการขาย
ด้านความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร โดยได้นำเข้ามาจากประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วง ปลายไตรมาส 3/2568 – ต้นไตรมาส 4/2568 โดยอาจจะช้ากว่าแผนที่วางไว้เล็กน้อยจากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาส 3/2568
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อีกอย่างน้อย 1 รุ่น เพื่อผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้และเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภค