เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วสำหรับ All New Yamaha Nmax 2025 ซึ่งถือเป็นประเทศที่ 2 ของโลก ต่อจาก อินโดนีเซีย โดยประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม Premuim Sport Automatic Scooter ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ Yamaha Nmax วางจำหน่ายครั้งแรกในประเทศไทยกว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี 2015 จนถึงปัจจุบัน มียอดขายสะสมกว่า 220,000 คัน โดยมีสัดส่วนราว 20% ของยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในประเทศไทย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เปิดตัว All New YAMAHA NMAX เทคโนโลยี YECVT ครั้งแรกในไทย
การเปิดตัวครั้งนี้ All New Yamaha Nmax มาพร้อม 2 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่ รุ่น Standard และ รุ่น Tech Max ซึ่งมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการดีไซน์และสมรรถนะรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ซึ่ง Autolifethailand ได้มีโอกาสร่วมขับขี่ในกิจกรรมทดสอบสมรรถนะก่อนการเปิดตัวที่ สนามแก่งกระจานเซอร์กิต จังหวัดเพชรบุรี
เริ่มต้นที่หน้าตาการดีไซน์กันก่อน All New Yamaha Nmax ในปี 2025 นี้ มาพร้อมการออกแบบใหม่ทั้งคัน! ตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้ายในทุกรายละเอียด รูปทรงกระชับและดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น แฟริ่งด้านข้างรูปทรงบูมเมอแรง เส้นสายเฉียบคมดูสปอร์ตมากขึ้น ด้านหน้ามีที่ครอบโช็คอัพหน้าเพิ่มขึ้นมาต่างจากรุ่นก่อนหน้า และจะมีหน้าตาคล้ายกับ Yamaha XMAX และไฟเลี้ยวที่อยู่ทางด้านล่างในรุ่นเดิมหายไป
ด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีการอัพเกรดช่องชาร์จสมาร์ทโฟนเป็นช่อง USB-Type C รองรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ที่บริเวณช่องเก็บของด้านหน้า ส่วนกล่องเก็บของใต้เบาะมีขนาด 25 ลิตร และกุญแจรีโมท Smart Key
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : Yamaha NMAX เตรียมเปิดตัวในไทย ปรับดีไซน์ เปลี่ยนเครื่อง-เกียร์ใหม่
ส่วนการออกแบบไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์ใหม่ทั้งหมดแบบ Full LED ซึ่งไฟหน้าเป็นแบบ LED Projector 2 ดวง แตกต่างจากเดิม มีไฟส่องสว่างทรงกลมอยู่ตรงกลางบนล่างและไฟ Daytime Running Light พร้อมไฟเลี้ยวอยู่ในชุดเดียวกัน ส่วนไฟท้ายพัฒนามาจากรุ่นพี่ Yamaha TMAX ใหม่ยกชุดและเป็นไฟ LED ทั้งหมด ไฟเบรกและไฟเลี้ยวด้านหลังแยกออกจากกันเรียบไปกับตัวรถไม่ได้เป็นโคมยื่นออกมาเหมือนรุ่นก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน หน้าจอเรือนไมล์มาพร้อมดีไซน์ใหม่ LCD ขนาด 3.2 นิ้ว ในรุ่น Standard และ หน้าจอแบบ Dual Digital Meters 2 หน้าจอ จอสี TFT 4.2 นิ้ว และ จอ LCD 3.2 นิ้ว มาพร้อมระบบนำทาง Garmin Street Cross ในรุ่น Tech Max ซึ่งทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมระบบเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน Yamaha Y-Connect เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้ง 2 รุ่น จากเดิมมีเฉพาะในรุ่นท็อป
ส่วนเครื่องยนต์มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 จังหวะ สูบเดี่ยว Blue Core 155 ซีซี. พร้อมเทคโนโลยีวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VVA ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งมีการปรับจูนใหม่ เช่นเดียวกับโช็คอัพหน้า–หลัง มีการเซ็ตอัพใหม่ ส่วน ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรก ABS ทั้งหน้า–หลัง นอกจากนั้น ระบบช่วยลดอาการล้อลื่นไถล Traction Control (TCS) มีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้ง 2 รุ่นแล้วจากเดิมมีเฉพาะในรุ่นท็อป
ขณะที่ มาพร้อมล้อเม็กขนาด 13 นิ้ว ทั้งหน้า–หลัง โดยด้านหน้ามาพร้อมยางขนาด 110/70-13 และ ด้านหลังมาพร้อมยางขนาด 130/70-13 โดยตัวรถมีน้ำหนัก 131 กิโลกรัมในรุ่น Standard และ 134 กิโลกรัม ในรุ่น Tech Max
รู้จักเทคโนโลยี Yamaha Electronic Control Continuously Variable Transmission (YECVT)
มาถึงตรงนี้แล้วหลายคนอาจจะยังรู้สึกว่า All New Yamaha Nmax 2025 เหมือนจะยังไม่มีอะไรใหม่ที่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่นับตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป ทุกคนจะได้รู้จักเทคโนโลยี YECVT ที่มีอยู่เฉพาะในรุ่น Tech Max และถือเป็นครั้งแรกของรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม ออโตเมติก สกู๊ตเตอร์ 150 ซีซี. ที่สามารถควบคุมชุดส่งกำลังอัตโนมัติด้วยระบบ Electronic สั่งงานผ่าน ECU พร้อมโหมดการขับขี่ (Riding Mode) 2 โหมด คือ T-Mode (Town Mode) และ S-Mode (Sport Mode) รวมถึง Shift Down Function ที่ ช่วยเพื่อมอัตราเร่ง และ ช่วยชะลอความเร็ว (Engine Brake)
โดยรูปแบบการทำงานของ Shift Down Function แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ
1.เมื่อเปิดคันเร่งและกดปุ่ม Shift จะเพิ่มอัตราเร่งโดย ECU จะปรับอัตราทดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับการเร่งแซง โดยสามารถเพิ่มได้ 3 ระดับ
2.เมื่อปิดคันเร่งและกดปุ่ม Shift จะช่วยชะลอความเร็วของตัวรถจากการสร้างแรงเบรกของเครื่องยนต์ (Engine Brake) โดย ECU จะปรับอัตราทดของเครื่องยนต์ทำให้เกิดแรงต้านและความเร็วของตัวรถจะลดลงได้ดีกว่าการปิดคันเร่งเพียงอย่างเดียว โดยสามารถลดได้ 3 ระดับ
ความคิดเห็นของ Autolifethailand และ ฟีลลิ่งการขับขี่ ที่มีต่อ All New Yamaha Nmax
All New Yamaha Nmax รุ่น Standard
มีการอัพเกรดโฉมหน้าการดีไซน์ใหม่ที่แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้าอย่างมาก สำหรับผู้ที่รอคอยการเปิดตัวของรุ่นใหม่ที่จะได้หน้าตาที่มีความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า ถือว่าคุ้มค่าการรอคอย! เพราะได้ทั้งไฟ Full LED ได้ทั้งหน้าจอเรือนไมล์ใหม่ เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่การ Minor Change เท่านั้น แต่สมกับการเป็น All New อย่างแท้จริง นอกจากนั้นสิ่งที่ได้ในรุ่น Standard ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นยังได้ทั้ง ระบบเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน Yamaha Y-Connect และ ระบบช่วยลดอาการล้อลื่นไถล Traction Control (TCS) มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานแล้ว พร้อมทั้ง ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรก ABS ทั้งหน้า–หลัง ซึ่งเมื่อเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกันถือว่าเป็นสิ่งที่ควรให้มาเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น
ส่วนฟีลลิ่งการขับขี่ในรุ่น รุ่น Standard ต้องบอกว่าเนียนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงล่างทั้งโช็คอัพทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่มีการเซ็ตอัพใหม่ ซึ่งจากที่ลองขี่มานั้นรู้สึกมีความนุ่มนวลขึ้นซับแรงที่ส่งจากพื้นขึ้นมาถึงแฮนด์ได้ดีขึ้นมาก ลดอาการสะท้านมือได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่วนด้านหลังก็เช่นกันและยังนุ่มขึ้นชัดเจนในส่วนนี้ นอกจากนั้น ในเรื่องการยึกเกาะถนนและการเอียงรถเทรถขณะขับขี่ก็ให้ความมั่นใจดีไม่น้อยเช่นกัน ไม่มีอาการโหวงขณะพับรถตอนเข้าโค้ง ถือได้ว่าเป็นช่วงล่างที่ขับขี่สนุกคันหนึ่งในคลาสนี้เลยทีเดียว และโดยรวมค่ามาตรฐานที่มาจากโรงงานดีขึ้นเมื่อเทียบรุ่นก่อนหน้า
สำหรับเครื่องยนต์อันนี้ต้องชื่นชมกับเครื่องยนต์ Blue Core 155 ซีซี. พร้อมเทคโนโลยีวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VVA ระบายความร้อนด้วยน้ำ ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ที่ดีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งในครั้งนี้มีการปรับจูนใหม่ ซึ่งในส่วนนี้จากการลองขี่อาจจะไม่ค่อยรู้สึกว่าแตกต่างขึ้นได้ชัดเท่าไรนักจากเดิมที่ดีอยู่แล้ว อัตราเร่งถึงใจบิดติดมือเพราะมี VVA ช่วยทำให้ลดอาการรอรอบ ตรงนี้ยังรักษาความสนุกได้ดี

All New Yamaha Nmax รุ่น Tech Max
นอกเหนือจากหน้าตาดีไซน์ที่ใหม่ขึ้นและมาพร้อม Emblem ใหม่ NMAX Tech Max โชว์ความแตกต่างชัดเจน และยังมาพร้อมกับ หน้าจอแบบ Dual Digital Meters 2 หน้าจอ จอสี TFT 4.2 นิ้ว และ จอ LCD 3.2 นิ้ว มาพร้อมระบบนำทาง Garmin Street Cross ได้เหมือนกับรุ่นพี่ Max Series ทั้งหลาย รวมถึงยังได้เบาะที่นั่ง Tech Max Seat เบาะที่นั่งที่ใช้วัสดุและลวดลายพิเศษช่วยลดอาการเมื่อยล้าขณะเดินทางอีกด้วย
ที่สำคัญคือ ได้เทคโนโลยี YECVT ที่สวิทช์แอนด์ด้านซ้ายจะมีปุ่มกด Shift Down Function ที่นิ้วโป้งซ้ายล่างสุด และปุ่ม Riding Mode ที่นิ้วชี้ด้านซ้าย อาจจะต้องใช้ความคุ้นชินพอสมควรเพื่อไม่ให้การกดปุ่ม Shift แล้วไปโดนปุ่มแตร เพราะต้องใช้องศามือกางค่อนข้างกว้าง แต่การออกแบบปุ่มให้ยื่นออกมาสามารถกดลงเข้าไปตรง ๆ และ กดได้จากมุมข้าง ก็ทำให้กดได้ง่ายขึ้น
ส่วนการเปิดคันเร่งและกดปุ่มกับการปิดคันเร่งและกดปุ่มถึงจะมีการทำงานที่แตกต่างกันถือว่าเป็นการควบคุมที่ไม่ซับซ้อนดีและมีตรรกะการทำงานที่ถูกต้องตามพื้นฐานการขับขี่แต่การเพิ่มอัตราเร่งหรือการชะลอความเร็วจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ด้วยว่าอยู่ในโหมดใด
ฟีลลิ่งที่ได้รับในรุ่น Tech Max กับการทำงานของ YECVT ต้องบอกว่าถือเป็นการเปลี่ยนนิยามของการขับขี่รถจักรยานยนต์ออโตเมติกสูก๊ตเตอร์ไปเลยและเป็นครั้งแรกในคลาสนี้ เพราะเราสามารถควบคุมการทำงานได้ดั่งใจ ตอนเปิดคันเร่งแล้วกด แม้ว่ามันจะไม่ได้พุ่งกระชากเหมือนตอนเราเชนจ์เกียร์เพื่อเร่ง แต่อัตราเร่งจากปกติมาแบบนับ 1-2-3-4-5 กลายเป็นนับ 1-3-5 คือการปรับอัตราทดของสายพานทำให้รอบมาเร็วขึ้น จะเห้นผลดีตอนเร่งแซงชัดเจนหรือในขณะที่ต้องการเรียกความเร็ว
เช่นเดียวกันเมื่อต้องการชะลอความเร็วแค่ปิดเร่งแล้วกด อันนี้ชัดเจนเพราะรู้สึกได้ถึงการหน่วงของเครื่อองยนต์ ตอนลองใช้ในสนามเหมือนเวลาเชนจ์เกียร์ชะลอความเร็วก่อนเข้าโค้งทำให้มั่นใจมากยิ่งขึ้นจริง ๆ และถ้านำมาใช้ในชีวิตประจำวันจะเห็นผลในช่วงตอนขับขี่ลงเขา ที่โดยปกติถือเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของรถจักรยานยนต์ออโตเมติกสกู๊ตเตอร์ แต่วันนี้ YECVT ถือว่าเข้ามาลบจุดอ่อนดังกล่าวได้

ดังนั้นการใส่เทคโนโลยี YECVT เข้ามาใน All New Yamaha Nmax Tech Max ทำให้รู้สึกสนุกในการขับขี่ อยากจับรถ พลิกรถ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และถือว่าในรถจักรยานยนต์คลาสนี้ ยามาฮ่า มีแต้มต่อกับการใส่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไปอีกขั้นมาลงสู่ตลาด ซึ่ง ณ วันที่ได้มาสัมผัสเป็นครั้งแรกยังไม่มีการประกาศราคา แต่ถ้าเปิดราคามาเร้าใจเพิ่มขึ้น จากรุ่นก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 9.5-9.7 หมื่นบาท แบบไม่ทะลุแสนไปไกลมากนัก น่าจะเป็นการเซ็ตมาตรฐานใหม่ให้กับรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม Premuim Sport Automatic Scooter ในคลาสนี้ และสามารถแข่งขันได้และชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยยะสำคัญแน่
ถ้าหากต้องตัดสินใจเลือกสักรุ่นหนึ่งแนะนำว่าไปรุ่น Nmax Tech Max ไปเลย ได้ทั้งเทคโนโลยีใหม่และจะได้สัมผัสประสบการณ์ขับขี่รถจักรยานยนต์ออโตเมติกแบบใหม่ได้อย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดการเปิดตัวและการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ จะนำมารายงานให้ทราบในช่องทางของ Autolifethailand ทุกช่องทาง