ศึกซูเปอร์ จีที หวังที่จะยกพลดวลความเร็วบนสังเวียนนอกประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง หลังวิกฤติโควิด-19 ผ่อนคลาย โดยมีเงื่อนไขในเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ซึ่ง ช้างฯ เซอร์กิต ยังคงอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆของเกมความเร็วระดับท็อปของญี่ปุ่น
การชิงชัยบนสังเวียนช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในฤดูกาล 2019 คือ โอเวอร์ซี เรซส์ ครั้งสุดท้ายของ ศึกซูเปอร์ จีที ซีรีส์ เกมความเร็วระดับท็อปของประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่การแพร่ระบาดของ โคโรน่า ไวรัส 2019 จะเป็นตัวจำกัดให้ รายการดังกล่าวทำการแข่งขันเฉพาะสังเวียนภายในประเทศ
ล่าสุดในการแถลงข่าวก่อนเปิดฤดูกาลที่ โอกายาม่า ได้มีการเปิดเผยถึงความพยายามที่จะยกพลดวลความเร็วนอกประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง หลังมาตรการต่างๆที่ค่อนข้างตึงจากภาครัฐบาลเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงการเปิดประเทศอีกครั้งหลังประกาศล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมา
โดย มาซาอากิ บันโดะ แชร์แมนของ จีทีเอ เจ้าของลิขสิทธิ์จัดการแข่งขัน กล่าวว่า “มีเสียงเรียกร้องจากบรรดาโปรโมเตอร์ ทว่าติดปัญหาด้านการขนส่ง เนื่องจากเราต้องการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ประมาณ 60 ตู้ ซึ่งราคาดีดสูงขึ้นนับตั้งแต่ช่วงวิกฤติโควิด-19 และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง”
“นอกจากนี้แต่ละทีมยังติดปัญหาในเรื่องค่าเดินทางและที่พัก เนื่องจากก่อนหน้านี้โปรโมเตอร์ เอเวอร์ซี เรซส์ จะเป็นผู้รับผิดชอบและดูแล ทว่า ณ เวลานี้พวกเขาต้องพิจารณาอย่างหนักว่าคุ้มค่ากับการจัดการแข่งขันหรือไม่ ทั้งยังมีปัจจัยในเรื่องของค่าธรรมเนียมโฮสติ้ง และสล็อตจัดการแข่งขัน ซึ่งเรายังไม่ได้มีการหารือในเรื่องนี้”
สำหรับสังเวียน โอเวอร์ซี เรซส์ ที่อยู่ในความสนใจของ ศึกซูเปอร์ จีที ประกอบด้วย ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศไทย, เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย และ มันดาลิกา อินเตอร์เนชั่นแนล สตรีท เซอร์กิต ประเทศอินโดนิเซีย โดยมีปัจจัยด้านการขนส่งเป็นตัวกระตุ้นการตัดสินใจ