ยังไม่ทันเริ่มงาน มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42 หรือ มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2025 (Motor Expo 2025) ศึกการแข่งขันของสงครามราคาก็ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน ก่อนที่มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 จะสิ้นสุดลงในปลายปี 2568 นี้
ผู้ผลิตที่จัดเต็มอัดส่วนลดไปตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั่นคือ บีวายดี (BYD), ฉางอาน (CHANGAN), ไอออน (AION) ที่มอบส่วนลดตั้งแต่หลักหมื่นบาทจนถึงหลักแสนบาท
ยังไม่ทันพ้นสัปดาห์แรก เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ก็ประกาศแคมเปญ Good Cat Good Will ข้อเสนอพิเศษกับโอกาสสุดท้ายในการเป็นเจ้าของ ORA Good Cat ภายใต้มาตรการ EV 3.0 สำหรับลูกค้าที่จองและออกรถตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2568 ช่วยผ่อนรายเดือน จำนวนเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 12 เดือน รวมมูลค่า 60,000 บาท (สำหรับรุ่น PRO และ ULTRA) และจำนวน 7,500 บาท เป็นเวลา 12 เดือน (สำหรับรุ่น GT) พร้อมแถมประกันภัยชั้นหนึ่ง 2 ปี
ตามมาด้วย เอ็มจี (MG) มอบข้อเสนอพิเศษ END OF SEASON DEAL ก่อนสิ้นสุดมาตรการ EV 3.0 มอบส่วนลด MG4 D Standard Range MG ลด 190,000 บาท เหลือ 519,900 บาท MG4 D+ Long Range ลด 140,000 บาท เหลือ 629,900 บาท MG S5 EV PLUS ส่วนลด 130,000 บาท พร้อม ฟรี ประกันชั้น 1 – แถมฟรี Home Charger รับประกันแบต–มอเตอร์ ตลอดอายุการใช้งาน Lifetime Warranty
รวมถึง จีลี่ (GEELY) มอบส่วนลด สูงสุด 200,000 บาท สำหรับ GEELY EX5 พร้อมประกันภัยชั้น 1 และ Home Charger ฟรี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : Motor Expo 2025 : จุดเริ่มต้นใหม่ หรือ จุดสิ้นสุด ของสงครามราคา ?
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่จัดแคมเปญโอกาสสุดท้ายก่อนสิ้นสุดมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่
- (EV3.0) – BYD Dolphin : ส่วนลดสูงสุด 140,000 บาท
- (EV3.0) – BYD ATTO 3 : ส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท
- (EV3.0) – ORA Good Cat : ช่วยผ่อนสูงสุด 7,500 บาท นาน 1 ปี (มูลค่าสูงสุด 90,000 บาท)
- (EV3.5) – AION UT : ลดสูงสุด 70,000 บาท
- (EV3.0) – DEEPAL S07 : ปรับโฉมและปรับราคาจำหน่ายลง 300,000 บาท
- (EV3.0) – MG 4 : ลดสูงสุด 190,000 บาท
- (EV3.0) – MG S5 EV : ลดสูงสุด 130,000 บาท
จับตารถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าแต่ยังไม่มีการจัดแคมเปญลดราคา
- MG EP
- VOLT City EV
- Wuling Air EV
- Wuling Binguo EV
- DEEPAL L07
- NETA V
- NETA X
- DEEPAL S05
- AION V
สำหรับ บทลงโทษของผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 ของรัฐบาลได้ จะมีการระงับการจ่ายเงินอุดหนุนส่วนที่เหลือจนกว่าจะสามารถดำเนินการผลิตชดเชยได้ครบตามเงื่อนไข และหากไม่สามารถผลิตคืนได้จะมีการแรียกคืนเงินอุดหนุนแทนและเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตส่วนต่างย้อนหลังพร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ 2 เท่า
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่บริษัทผู้ผลิตที่เข้าร่วมในโครงการ EV 3.0 จะต้องเร่งการผลิตชดเชยให้ได้ตามจำนวนและเพืjอให้จดทะเบียนได้ทันภายในสิ้นปี 2568 นี้ ซึ่งการผลิตชดเชยก่อนสิ้นสุดมาตรการนี้คืออัตรา 1:1 คัน จึงมีการใส่แคมเปญกระตุ้น ไม่เช่นนั้นจะต้องไปเข้าข่ายการผลิตชดเชยใน EV 3.5 ที่ในปี 2569 ต้องผลิตชดเชยอัตราส่วน 1 : 2 คัน และเพิ่มเป็น 1 : 3 คันในปี 2570
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : บอร์ดอีวี เห็นชอบปรับเงื่อนไขผลิตชดเชยยานยนต์ไฟฟ้า EV3 และ EV3.5
ขณะที่ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้มีการปรับหลักเกณฑ์การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ชดเชยตามมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ให้นับยอดชดเชย 1.5 เท่า สำหรับการผลิตเพื่อส่งออก พร้อมขยายเวลาจดทะเบียนอีก 1 เดือน และเพิ่มความเข้มข้นในการจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการ รับมือความผันผวนจากตลาดยานยนต์โลก พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนของกรมสรรพสามิตตามมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1.สำหรับผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 ที่ไม่ขยายเวลาผลิตชดเชย ให้จัดทำแผนคาดการณ์การผลิตชดเชย และรายงานผลการผลิตชดเชยเป็นรายเดือน โดยกรมสรรพสามิตจะยับยั้งการจ่ายเงินอุดหนุนจนกว่าจะผลิตชดเชยสะสมได้ตั้งแต่ 50% ของจำนวนที่ต้องผลิตชดเชยทั้งหมด และผลิตได้ตามแผนคาดการณ์ ในกรณีผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 ที่จะขยายเวลาผลิตชดเชยหรือผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.5 จะต้องจัดทำแผนคาดการณ์การผลิตชดเชย โดยผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ขยายเวลา ต้องวาง Bank Guarantee 20 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท ขึ้นไป และ 40 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยกรมสรรพสามิตจะยับยั้งการจ่ายเงินอุดหนุน หากผู้ได้รับสิทธิมียอดการผลิตชดเชยสะสมต่ำกว่าสัดส่วนที่กำหนด
2.ให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 ที่จะขยายเวลาผลิตชดเชย สามารถจัดหาโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจากเดิมได้ เพื่อให้สามารถผลิตชดเชยได้ภายในเวลาที่กำหนด
3.ให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 สามารถทบทวนการขอรับสิทธิและการนับจำนวนการนำเข้าเพื่อการผลิตชดเชยได้ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้นำเข้าและจดทะเบียนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน บริษัทสามารถเลือกที่จะคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิต พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เพื่อที่จะไม่ต้องนับเป็นยอดในการผลิตชดเชย
รายชื่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 มีดังนี้
รถยนต์ จำนวน 9 บริษัท
- บริษัท เกรท วอลล์มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์–ซีพี จำกัด
- บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
- บริษัท กรีน ฟิวเตอร์ จำกัด
- บริษัท ไมน์ โมบิลิตี คอร์ปอเรชั่น จำกัด
- บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท เนต้า ไทยแลนด์ จำกัด
- บริษัท เมอร์เซเดส–เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด
รถจักรยานยนต์ จำนวน 3 บริษัท
- บริษัท เดโก้ กรีน เอนเนอร์จี จำกัด
- บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด
- บริษัท ไทย ฮอนด้า จำกัด
จากข้อมูลของ กรมสรรพสามิต ได้ประมาณการยอดผลิตชดเชย/ผลิตในประเทศตามมาตรการสนับสนุน EV3.0 มีค่ายรถเข้าร่วมทั้งหมดแบ่งเป็น การนำเข้าปี 2565-2566 รวม 84,195 คัน นำเข้าปี 2567 รวม 66,448 คัน นำเข้าปี 2568 รวม 34,386 คัน รวมมีการนำเข้าทั้งหมด 185,029 คัน
ประมาณการนำเข้าในปี 2565-2568 ค่ายรถ 5 อันดับแรก ได้แก่
- บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด (BYD) = 77,274 คัน
- บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด = 40,837 คัน
- บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ ซีพี จำกัด = 27,186 คัน
- บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด = 24,225 คัน
- บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด (แบรนด์วู่หลิง และ Volt) = 8,493 คัน
ค่ายรถที่ต้องเริ่มผลิตชดเชยตั้งแต่ปี 2567 ได้แก่ (พิจารณาเฉพาะการนำเข้าปี 2565-2566 ที่ครบกำหนด)
- บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด (BYD) = 38,637 คัน
- บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด = 16,337 คัน
- บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ ซีพี จำกัด = 16,191 คัน
- บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด = 9,645 คัน
- บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด (แบรนด์วู่หลิง และ Volt) = 1,597 คัน
อย่างไรก็ตาม “สงครามราคา” ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงปลายปีนี้จะเข้มข้นขึ้นอย่างแน่นอน แม้ว่ารัฐบาลจะเปิดช่องให้ผู้ประกอบการสามารถขยายระยะเวลาผลิตชดเชยคืนได้ก็ตาม แต่การผลิตชดเชยตามเงื่อนไขของ EV 3.5 ถือเป็นเงื่อนไขการผลิตที่เข้มข้นขึ้นเมื่อเทียบกับ EV 3.0 ซึ่งส่งผลต่อภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงในสถานการณ์ตลาดที่ชะลอตัวมีต้นทุนคงที่เมื่อผลิตออกมาแล้วค้างสต๊อกอย่าง ดอกเบี้ย, ค่าเช่าที่จอด และอื่น ๆดังนั้นผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ EV 3.0 จึงมีการอัดแคมเปญที่เข้มข้นขึ้นเพื่อระบายสต๊อกและไม่ต้องเผชิญกับความเข้มข้นของเงื่อนไขการผลิตชดเชยและภาระต้นทุนต่าง ๆ







