Ferrari 12Cilindri / 12 Cilindri Spider ราคาอย่างเป็นทางการ เริ่มต้น 40,050,000 – 43,890,000 บาท | V12 NA 6.5L 830 แรงม้า
ราคาอย่างเป็นทางการ (นำเข้า CBU)
- 12 Cilindri เริ่มต้น 40,050,000 บาท
- 12 Cilindri Spider เริ่มต้น 43,890,000 บาท
โดย Cavallino Motors (คาวาลลิโน มอเตอร์) ผู้จำหน่าย และ บริการหลังการขาย Ferrari อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
Ferrari 12Cilindri (อ่านว่า โดดิชี่ ชิลินดรี่) และ Ferrari 12Cilindri Spider (อ่านว่าโดดิชี่ ชิลินดรี่ สไปเดอร์) เป็นภาษาอิตาเลียน




Dimension มิติตัวถัง
Ferrari 12Cilindri
- ยาว 4,733 มิลลิเมตร
- กว้าง 2,176 มิลลิเมตร
- สูง 1,292 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ wheelbase 2,700 มิลลิเมตร
- ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 200 ลิตร
- น้ำหนักรถเปล่า 1,620 กิโลกรัม
- อัตราส่วนกระจายน้ำหนัก 47.8 : 52.2
- ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 92 ลิตร


Engine เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส F140HD แบบ V12 ทำมุม 65 องศา ขนาด 6.5 ลิตร 6,496 ซีซี. NA (Natural Aspirated) ไม่มีระบบอัดอากาศ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.0 x 78.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.5 : 1 พละกำลังสูงสุด 830 แรงม้า ที่ 9,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 678 นิวตันเมตร ที่ 7,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ DCT





Ferrari 12Cilindri ตัวเลขเคลมจากโรงงาน
- Top Speed ความเร็วสูงสุด มากกว่า 340 km/h
- อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 2.95 วินาที
- อัตราเร่ง 0-200 km/h ภายใน 8.2 วินาที
- เบรก จาก 100-0 km/h ระยะทาง 31.4 เมตร
- เบรก จาก 200-0 km/h ระยะทาง 122.0 เมตร









Highlights ของ Ferrari 12Cilindri / 12 Cilindri Spider
ล้อและยาง
- หน้า 275/35 R21 10.0J x 21″
- หลัง 315/35 R21 11.5J x 21″
ระบบเบรก
- จานเบรก หน้า 398 x 223 x 38 มิลลิเมตร
- จานเบรก หลัง 360 x 233 x 32 มิลลิเมตร

มีเพียงเสียงเดียวเท่านั้น ที่ปลุกเร้าเหล่าสาวกม้าลำพองมาตั้งแต่ปี 1947 : สำเนียงแห่งขุมพลัง V12 แบบไม่มีระบบอัดอากาศ วางกลางลำด้านหน้า ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวแรกที่กู่ร้องกึกก้องผ่านประตูของ โรงงานผลิตในมาราเนลโล และในวันนี้ ยนตรกรรมที่เผยโฉมต่อสาธารณชนและสื่อมวลชน ในงานฉลองครบรอบ 70 ปี นับจาก Ferrari ก้าวเข้ามาในตลาดยานยนต์ของสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก คือ Ferrari 12Cilindri (อ่านว่าโดดิชี่ ชิลินดรี่) และ Ferrari 12Cilindri Spider (อ่านว่าโดดิชี่ ชิลินดรี่ สไปเดอร์)
เปิดตัวสุด Exclusive ณ Miami Beach ม้า ลำพองทั้ง 2 รุ่นนี้คืออีกขั้นของยนตรกรรมจากปรัชญาแห่งพลังขับเคลื่อนที่ไม่เคยเป็นรองใคร พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด หลายทศวรรษที่ผ่านมา ทว่าไม่เคยทิ้ง DNA ดั้งเดิม และเอกลักษณ์อันเป็นแก่นแท้ของแบรนด์ไปแม้แต่น้อย ขับเคลื่อนด้วย เครื่องยนต์ 12 สูบ อันเลื่องลือของ Ferrari ขุมพลัง V12 รุ่นใหม่ ทำพละกำลังได้ถึง 830 แรงม้า และ ทำรอบสูงสุดที่ 9,500 รอบ/ นาที
โดย 80% ของแรงบิด มีให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำเพียง 2,500 รอบ/นาที เท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้คืออัตราเร่งที่ตอบสนองทันใจและรู้สึก ถึงพละกำลังอันไม่มีที่สิ้นสุด ต่อเนื่องไปจนถึงเรดไลน์ พร้อมมอบความพิเศษกว่าใครให้แก่ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร ด้วยประสบการณ์ การขับขี่แบบหลังคาแข็งปกติและแบบเปิดหลังคา





12Cilindri และ 12Cilindri Spider นำแรงบันดาลใจจากรถสไตล์ Gran Tourer ระดับตำนานรุ่นต่างๆ ในยุค 1950 และ 60 มาหลอมรวมจนเกิดเป็นปฏิบัติการรังสรรค์ยนตรกรรมขุมพลัง Ferrari V12 วางหน้า ผสานความสง่างาม อรรถประโยชน์ และสมรรถนะ เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว อีกทั้ง 12Cilindri Spider ที่ผสานสมรรถนะที่เหนือชั้นเข้ากับ หลังคาแบบเปิดประทุน และที่สุดแห่งความสะดวกสบายเมื่อขับขี่ทางไกล ดีไซน์ของรถแตกต่างออกไปจาก Ferrari แบบ 2 ที่นั่งรุ่น อื่นๆ
โดยปรับลดความบึกบึนของการออกแบบตัวรถ แล้วเปลี่ยนสู่การดีไซน์แห่งอนาคตที่สามารถเห็นได้จากความเรียบง่าย แต่ยังมีกลิ่นอายของการออกแบบที่สอดคล้องไปกับโลกยนตรกรรมในปัจจุบัน ร่างเงาของรถเผยถึงความโฉบเฉี่ยวและมีระดับ ด้วยเส้นสายที่เรียบง่าย ทว่ากลมกลืนลงตัว แฝงไว้ซึ่งระบบแอโรไดนามิกแบบแอคทีฟเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้มาซึ่งประสิทธิภาพที่ เหนือชั้น ฝากระโปรงแบบเปิดขึ้นไปทางด้านหน้ารถเพื่อเผยให้เห็นมุมมองใหม่ของห้องเครื่อง และปลายท่อไอเสียคู่สองฝั่งที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะยนตรกรรม Ferrari แบบ 12 สูบ เท่านั้น




12Cilindri และ 12Cilindri Spider รังสรรค์ขึ้นสำหรับผู้รักการขับขี่ และผู้ต้องการมาตรฐานใหม่แห่ง สมรรถนะ, ความสะดวกสบาย และดีไซน์ที่โดดเด่น ทั้งเหล่า “Ferraristi” ผู้หลงใหลในสุนทรียภาพแห่งการขับขี่อันแสนพิเศษที่มี เพียง Ferrari V12 เท่านั้นที่จะมอบให้ได้ รวมถึงผู้ที่ฝันถึงยนตรกรรมซึ่งผสานความเร้าใจในการขับขี่ที่ยากจะหาใครเทียบเคียงเข้า กับความสะดวกสบายและดีไซน์แบบอิตาเลียน ตลอดจนสามารถเพลิดเพลินไปกับสายลมได้ ด้วยวิสัยทัศน์แห่ง DNA ที่ชัดเจนของ Ferrari นี่จึงเป็นรถที่สร้างมาสำหรับ Ferraristi “ตัวจริง” เท่านั้น





ระบบขับเคลื่อน Ferrari 12Cilindri
เครื่องยนต์รหัส F140HD ที่ติดตั้งใน Ferrari 12Cilindri เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของขุมพลัง Ferrari V12 แบบไม่มีระบบ อัดอากาศ ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริงของ Ferrari ด้วยสมรรถนะที่ไม่มีใครเสมอเหมือน, เสียงคํารามทรงพลัง และความ พิเศษเฉพาะตัว ส่งให้รถรุ่นนี้ควรค่าแก่การเป็นทายาทของรถสปอร์ตตระกูล Berlinetta ซึ่งจารึกเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ ให้กับประวัติศาสตร์ของแบรนด์ เครื่องยนต์ตัวนี้สามารถปลดปล่อยพละกําลังสูงสุดได้ถึง 830 แรงม้า ขณะที่รอบเครื่อง สูงสุดทําได้ที่ 9,500 รอบ/นาที จากการใช้วิธีที่ท้าทายและสร้างสรรค์
เครื่องยนต์เวอร์ชั่นใหม่นี้ มาพร้อมกับชอฟต์แวร์และชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกปรับแต่งใหม่ โดยบางอย่างเคยถูกนําไปใช้ ใน 812 Competizione ซีรีส์พิเศษ จึงมั่นใจได้ว่าจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดในรถกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ขุมพลัง V12 ทํารอบ เครื่องได้สูงขนาดนี้ เหล่าวิศวกรจึงต้องทํางานอย่างหนักเพื่อลดนํ้าหนักและแรงเฉื่อยของชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ โดย ใช้ก้านสูบไทเทเนียมซึ่งช่วยลดการต้านการเคลื่อนที่ได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับก้านสูบเหล็กที่มีแรงต้านเชิงกลเท่ากัน ลูกสูบ ผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอยชนิดใหม่ จึงมีนํ้าหนักเบากว่าลูกสูบที่ใช้ในเครื่องยนต์รุ่นที่แล้ว ส่วนการลดนํ้าหนักที่เหลือ ได้จาก การถ่วงสมดุลเพลาข้อเหวี่ยงใหม่ ซึ่งตัดนํ้าหนักออกไปได้ถึง 3%









ชุดกลไกควบคุมการเปิดปิดวาล์ว ใช้ตัวเลื่อนกระเดื่องกดวาล์วแบบ Follower ซึ่งนําเทคโนโลยีมาจาก ประสบการณ์ที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในรถแข่ง Formula 1 ของ Ferrari และได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อใช้สําหรับเครื่องยนต์ V12 โดยเฉพาะ เพื่อลดมวลและสามารถใช้แคมชาฟต์องศาสูงขึ้นได้ ตัวเลื่อนกระเดื่องกดวาล์วแบบ Follower ซึ่งทําจาก โลหะเคลือบด้วย Diamond-Like-Carbon (DLC) ส่งผ่านการทํางานของแคมชาฟต์ไปยังวาล์วโดยใช้ก้านเลื่อนแบบไฮดรอ ลิกเป็นแกนหมุนให้เกิดการเคลื่อนที่ การใช้ DLC ช่วยลดแรงเสียดทานที่จุดวิกฤต จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเชิงกลของ เครื่องยนต์ได้อย่างมาก
การปรับแต่งที่สําคัญที่สุดมุ่งเน้นไปยังการเพิ่มการถ่ายทอดแรงบิดออกมาให้ได้ในทุกสภาพการขับขี่ ผลที่ได้คือ เครื่องยนต์ทํางานได้อย่างราบรื่นน่าประทับใจและตอบสนองต่อเนื่องไร้รอยต่อ ซึ่งมอบกําลังสูงสุดได้ที่เรดไลน์
เลย์เอาท์ของท่อไอดีและท่อรวมอากาศ มีขนาดกะทัดรัดยิ่งขึ้น ด้วยการลดความยาวท่อทางเดินและเพิ่มโปรไฟล์ แคมชาฟต์ ส่งให้ปลดปล่อยพลังออกมาที่รอบสูงได้ ในขณะที่กราฟแรงบิดก็เพิ่มสูงขึ้นในทุกย่านความเร็วรอบ จากการใช้ ระบบท่อทางเดินแบบแปรผันซึ่งช่วยให้ระยะทางเดินไอดีปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสมต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มปริมาณไอดีใน กระบอกสูบ
และเป็นครั้งแรกของเครื่องยนต์แบบไม่มีระบบอัดอากาศ ที่มีการนํานวัตกรรมซอฟต์แวร์ซึ่งพัฒนาให้สามารถ ปรับแต่งค่าแรงบิดสูงสุดได้ตามแต่ละตําแหน่งเกียร์มาใช้ ส่งผลให้ผู้ขับสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลและพลังที่ต่อเนื่องลื่นไหล ไปตามอัตราทดเกียร์ที่สูงขึ้น นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสําคัญในการทําให้การขับขี่อันเร้าใจของ Ferrari 12Cilindri มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวอย่างแท้จริง



อัตราเร่งและพละกําลังอันไร้ขีดจํากัดที่ถ่ายทอดออกมาอย่างก้าวกระโดด เป็นอัตลักษณ์สําคัญของเหล่าขุมพลัง Ferrari V12 และด้วยนวัตกรรม Aspirated Torque Shaping (ATP) เอื้อให้ทีมวิศวกรแห่งมาราเนลโลสามารถปรับแรงบิด ขณะอยู่ในเกียร์ 3 และ 4 ได้ โดยใช้ระบบควบคุมอิเลกทรอนิกส์ที่ทํางานอย่างละเอียดลออ เพื่อเพิ่มความราบรื่นของแรงบิด โดยไม่กระทบต่ออัตราเร่ง จึงให้ความสนุกในการขับขี่ได้มากกว่าเดิม
นอกจากนั้น อัตราทดเกียร์ที่ปรับปรุงใหม่ยังช่วยให้ได้ อัตราเร่งในระดับสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และเปิดทางให้เหล่าวิศวกรสามารถกําหนดระดับแรงบิดให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ แบบไม่มีระบบอัดอากาศได้อีกด้วย
การเพิ่มประสิทธิภาพเชิงกลให้กับเครื่องยนต์และปรับวงจรของระบบหล่อลื่นให้เหมาะสม มีความสําคัญอย่างยิ่ง ต่อการสร้างสมรรถนะและลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มีการปรับตั้งการแปรผันของปั๊มนํ้ามันเครื่องให้นํ้ามันสามารถ ไหลเวียนได้ทั่วเครื่องยนต์ ก่อนที่จะนําทั้งไอระเหยและนํ้ามัน วนกลับมาใช้อีกครั้งจากถังเก็บนํ้ามันเครื่อง โซลินอยด์วาล์ว ซึ่งควบคุมโดย ECU ของเครื่องยนต์ในระบบปิด ถูกนํามาใช้ควบคุมปั๊ม (นํ้ามันเครื่อง) ในด้านของรอบเครื่องยนต์และ แรงดัน โดยจ่ายปริมาณนํ้ามันให้ตรงตามที่ต้องการ จึงกินกําลังเครื่องยนต์น้อยลงตามไปด้วย การจัดการกับถังเก็บ นํ้ามันเครื่องและวงจรไฮดรอลิกของปั๊มช่วยลดการสูญเสียกําลังเครื่องให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน ได้มากขึ้นในทุกสภาพการใช้งานอีกด้วย
ระบบจ่ายนํ้ามันเบนซินแบบฉีดตรง (GDI – Gasoline Direct Injection system ที่แรงดัน 350 บาร์) ประกอบด้วย ปั๊มนํ้ามันเชื้อเพลิง 2 ตัว และรางนําเชื้อเพลิง 4 ราง ร่วมด้วยเซนเซอร์วัดแรงดันที่คอยส่งข้อมูลให้กับระบบควบคุมแรงดัน หัวฉีดอิเลกทรอนิกส์ทั้งหมดสามารถฉีดเชื้อเพลิงได้สูงสุด 3 ครั้ง ต่อหนึ่งรอบการทํางานของเครื่องยนต์ ระบบจุดระเบิดถูก ตรวจจับตลอดเวลาโดยหน่วยควบคุมเครื่องยนต์ซึ่งสามารถสั่งจุดระเบิดได้ทั้งแบบครั้งเดียวและหลายครั้งติดต่อกัน
นอกจากนั้น ECU ยังควบคุมการเผาไหม้ในห้องเผาไหม้ เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องยนต์จะทํางานในสภาวะที่มีประสิทธิภาพ พลศาสตร์ทางอุณหภูมิที่ดีที่สุดเสมอ โดยใช้ตรรกะอันซับซ้อนเพื่อวัดค่าออกเทนของเชื้อเพลิงในถัง ป้องกันการน็อค (ชิงจุด ระเบิด) ของเครื่องยนต์
ระบบไอเสียแบบใหม่ พัฒนาขึ้นเพื่อให้รถปล่อยไอเสียเป็นไปตามข้อกําหนดด้านมลพิษ (EU6E, China 6b และ Bin 50) ด้วยการใช้แคทาไลติกคอนเวอร์เตอร์แบบเซรามิกร่วมด้วยตัวกรองอนุภาคจากเชื้อเพลิง นี่คือเทคโนโลยีที่ช่วยลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทันสมัยที่สุด และสามารถใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์การตรวจวัดต่างๆ ได้

เสียง ถือเป็นหัวใจสําคัญในการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบาย, หรูหรา และอรรถรสอันน่าตื่นตาตื่นใจขณะ ขับขี่ตามแบบฉบับของขุมพลัง Ferrari V12 ด้วยเหตุนี้ ทุกองค์ประกอบของท่อไอดีและไอเสียจึงได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพ ขึ้นไปอีกขั้น ด้วยท่อทางเดินไอเสียที่มีความยาวเท่ากันทั้งหมด, ท่อร่วมไอดีแบบ 6-รวม-1 สําหรับฝาสูบแต่ละฝั่ง และ นวัตกรรมการออกแบบจัดวางองค์ประกอบส่วนกลางระหว่างเสื้อสูบทั้งสอง ทําให้ได้มาซึ่งเสียงคํารามดุดันตามแบบฉบับ ของเครื่องยนต์ Ferrari V12 ที่ปะทุออกมาตามลําดับการจุดระเบิด
นอกจากนั้น การผสานเสียงและการปรับแต่งคลื่นความถี่ ทั้งสูงและตํ่าที่ดังออกมาจากท่อร่วมไอดีและระบบไอเสียที่สมบูรณ์แบบ ยังส่งอิทธิพลต่อโทนเสียงของเครื่องยนต์อีกด้วย รูปทรงของท่อทั้งหมด ตลอดจนประสิทธิภาพการไหลของก๊าซภายในหม้อพัก ถูกออกแบบให้ช่วยลดแรงดันย้อนกลับ จึง สามารถถ่ายทอดพลังออกมาได้ดีขึ้น รูปแบบและส่วนโค้งงอต่างๆ ของระบบไอเสียมีความสมบูรณ์แบบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะ สามารถสร้างเสียงคํารามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ออกมาได้ตั้งแต่รอบตํ่าจนถึงเรดไลน์
เพื่อรับประกันว่าจะได้ความสมดุลของเสียงคํารามอย่างสมบูรณ์แบบในห้องโดยสาร จึงต้องปรับแต่งท่อไอดีใหม่ ด้วยการปรับตําแหน่งของตัวสะท้อนเสียงเพื่อเปลี่ยนแรงดันของคลื่นเสียง ผลที่ได้คือช่วงเสียงที่คมชัดและกว้างยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงความถี่กลาง เสียงที่ได้จึงมีความไพเราะ และมีความอิ่มของเสียงยิ่งขึ้นภายในห้องโดยสาร ไม่ว่า ขับขี่ในรูปแบบใดก็ตาม แต่ที่พิเศษที่สุดคือในการขับขี่แบบสปอร์ต
12Cilindri มาพร้อมกับเกียร์ 8 จังหวะ DCT (Dual Clutch Transmission) แบบเดียวกับที่ใช้อยู่ในรถอีก หลายรุ่นในเรนจ์ โดยเริ่มใช้ครั้งแรกกับ SF90 Stradale และอีกส่วนที่ต้องขอบคุณก็คือยางขนาดใหญ่ขึ้นกับล้อ 21 นิ้ว ด้วย วิธีนี้ทําให้อัตราทดเกียร์ชิดขึ้น 5% ในช่วงเกียร์ตํ่า และมีแรงบิดลงที่ล้อเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับรถ V12 รุ่นที่แล้ว ทั้งหมด นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขณะเร่งความเร็วและความรวดเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ (เร็วกว่ารถ V12 Berlinetta รุ่นที่แล้ว 30%)
สมรรถนะขณะเร่งความเร็วของแต่ละเกียร์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และการมีเกียร์ที่ 8 ยังช่วยประหยัดเชื้อเพลิงยิ่งขึ้น เมื่อขับขี่ทางไกล ชุดเกียร์ 8 จังหวะ DCT จึงได้เปรียบทั้งในด้านของอัตราสิ้นเปลืองและสนุกไปกับการขับขี่ในทุกตําแหน่ง เกียร์


การออกแบบ
ตัวถังภายนอก Ferrari 12Cilindri
Flavio Manzoni และทีมออกแบบของ Ferrari Styling Centre มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Ferrari 12Cilindri ให้แตกต่างไปจาก Ferrari ขุมพลัง V12 วางกลางลําด้านหน้ารุ่นที่แล้ว รถคันนี้ใช้เอกลักษณ์ทางภาษาเชิง ประติมากรรมที่แตกต่างไปจาก 812 Competizione โดยสิ้นเชิงอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น แทนที่จะใช้รูปแบบที่ซับซ้อน กลับคงไว้ซึ่งดีไซน์ที่ดูเรียบง่ายเป็นทางการ เพื่อให้ได้มาซึ่งสัมผัสที่เป็นเอกภาพด้านดีไซน์
เส้นสายที่สะอาดตาพาดปกคลุมไปทั่วตัวรถ เน้นยํ้าให้เห็นความมีมิติที่ประกอบขึ้นเป็นองค์รวมเชื่อมโยงกันอย่าง ไร้รอยต่อ ส่วนข้างของรถที่เรียบง่ายเป็นพิเศษจะตวัดย้อนกลับไปทั่วทั้งคันตั้งแต่บริเวณส่วนที่มี 2 แนวระนาบ และแม้จะ คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเย้ายวนสไตล์ Ferrari ทว่าส่วนเว้าส่วนโค้งของแก้มหน้าก็ได้รับการขัดเกลาขึ้นใหม่อย่างประณีต บรรจง เส้นสายทั้งหมดเกิดจากจุดตัดระหว่างส่วนเว้าส่วนโค้งและการเข้าถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน เพื่อก่อให้เกิดรูปทรงที่ชวน ให้หวนรําลึกถึงอดีต โป่งหลังที่กํายําสง่างามทั้งยังควบคุมสัดส่วนโดยรวมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่แก้มซุ้มล้อหน้าก็ดู มีมัดกล้ามที่ทอดยาวสอดรับกับส่วนข้างของรถ ช่วยเพิ่มมิติให้รถดูมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น
ฝากระโปรงหน้าโฉบเฉี่ยวและกลมกลืนไปกับแก้มซุ้มล้อทั้งสอง การลดทอนเส้นสายของแก้มช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ ของพื้นผิวให้ดูเรียบเนียนและต่อเนื่องไปกับดีไซน์ที่กํายํา ฝากระโปรงมีสัมผัสที่ลื่นไหลสะอาดตาเป็นพิเศษ แล้วตัดด้วยครีบ ระบายอากาศสองช่องสําหรับลดความร้อนห้องเครื่องเท่านั้น หนึ่งในวัตถุประสงค์ของ 12Cilindri คือการค้นหา ภาษาการออกแบบที่เกี่ยวข้องกับโลกของรถยนต์





ดังนั้น จึงตัดบางองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์สําคัญของส่วนหน้ารถ ออกไป เช่น ไฟหน้าที่มีรูปทรงเรียวยาวและกระจังหน้าแบบปกติ แล้วหันไปใช้รูปทรงแบบเลขาคณิตและการตัดกันไปมา เพื่อสะท้อนถึงจุดกําเนิดของการออกแบบรถยนต์ ไฟหน้าถูกรวมเข้ากับแถบที่คาดยาวตลอดแนวโดยมี DRL ฝังไว้ด้านล่าง ให้ดูคล้ายกับใบมีด
สถาปัตยกรรมด้านท้ายของรถก็ใช้แนวทางเดียวกัน เป็นอีกครั้งที่ความเข้มงวดถูกบรรจุเข้ามาในวาระการประชุม เพื่อการขึ้นรูปโดยการลบส่วนเว้าส่วนโค้งออกไป ชุดไฟท้ายที่มีดีไซน์สอดรับกับไฟหน้า ติดตั้งอยู่ในบาร์แนวนอนที่พาดยาว เต็มความกว้างของท้ายรถที่โค้งมน และยังส่งให้มุมมองด้านหลังของ Ferrari 12Cilindri มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นับเป็นอีก ครั้งที่ทีมออกแบบของ Ferrari Styling Centre แสดงให้เห็นถึงฝีมือในการหลอมรวมทางเทคนิคเข้ากับฟังก์ชั่นการใช้งานได้ อย่างงดงาม
แทนที่จะใช้ปีกหลังแบบทั่วไป เหล่านักออกแบบเปลี่ยนมาใช้แผ่นรับอากาศแบบแอคทีฟติดตั้งซ่อนเข้ากับกระจก หลังอย่างแนบเนียน จนเกิดเป็นธีมทรงสามเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ สัมผัสโดยรวมคือการทําให้ดูเชื่อมโยงไร้รอยต่อ ส่งให้ เกิดเป็นแนวคิดแห่งรูปทรงที่ลํ้ายุคอย่างยิ่ง แนวคิดนี้ทําให้ผู้ออกแบบสามารถดีไซน์ (รูปทรงตัวถัง) ส่วนห้องโดยสารของ Ferrari 12Cilindri ด้วยแนวทางใหม่ๆ ได้ โดยใช้กรอบของพื้นผิวเป็นสีเดียวกับตัวรถเพื่อเน้นให้ธีมของกระจกหลังเด่นชัด ยิ่งขึ้น และหลอมรวมเข้ากับส่วนที่เหลือของห้องโดยสารที่โดดเด่นด้วยตัวมันเอง จากการตัดด้วยสีดําของกระจกหลัง
ส่วนท้ายของรถมีมิติที่ดูแข็งแกร่งและสะอาดตายิ่งขึ้นจากการใช้สีเดียวกับตัวถัง ส่วนล่างซึ่งเป็นสีดําหรือคาร์บอน ไฟเบอร์ (ออปชั่น) โดดเด่นด้วยโครงสร้างของดิฟฟิวเซอร์ จนทําให้ส่วนบนของตัวถังดูเบาราวกับลอยตัวอยู่ บริเวณนี้ยัง เป็นที่ติดตั้งเซนเซอร์และปลายท่อไอเสียคู่อีกด้วย โดยตัวท่อประกอบด้วยปลายรวม 4 ท่อ และมีรูปทรงที่ออกแบบขึ้นใหม่ หมด ล้อมกรอบด้วยโลหะเพื่อหลอกตาให้ดูมีขนาดไม่ใหญ่เกินไป และให้มุมมองที่ดูกะทัดรัด

ห้องโดยสาร Ferrari 12Cilindri
การออกแบบห้องโดยสารของ 12Cilindri เผยให้เห็นการเล่นระดับออกเป็น 3 ส่วนแตกต่างกัน ชั้นแรกเป็น ส่วนบนของแดชบอร์ดที่ผสานต่อเนื่องไปไปยังแผงประตู ชั้นต่อมาคือพื้นที่ส่วนกลาง ในขณะที่ชั้นสุดท้ายเป็นส่วนของพื้น รถและเบาะนั่ง แต่ละระดับถูกแบ่งแยกไว้อย่างชัดเจนโดยเน้นให้เห็นความเป็นค็อกพิตแบบคู่ด้วยการตัดสีและการใช้วัสดุ ตกแต่งที่แตกต่างกัน ทั้งสองสิ่งนี้ถูกนํามาใช้เพื่อสร้างได้ทั้งความสง่างามหรือความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวให้กับเบาะนั่งและ องค์ประกอบอื่นๆ สิ่งที่มาควบคู่กับ 12Cilindri นอกจากความหรูหราและสมรรถนะอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Ferrari แล้ว ยังเน้นไปที่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยการใช้วัสดุที่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น Alcantara© ซึ่ง ประกอบด้วยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลถึง 65%
รูปแบบของห้องโดยสารนําแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมค็อกพิตคู่เอกลักษณ์ของม้าลําพอง ในช่วงหลายปีที่ ผ่านมา การจัดวางที่นั่งในรูปแบบดังกล่าวถูกนํามาใช้กับ Ferrari Roma และ Roma Spider รวมไปถึง Ferrari Purosangue ห้องโดยสารของ 12Cilindri มีรูปแบบที่เกือบจะสมมาตรกันระหว่างโมดูลสําหรับผู้ขับและผู้โดยสาร ทั้งยังมอบ มาตรฐานความสะดวกสบายขั้นสูงสุดและทําให้ทุกคนได้รับประสบการณ์การขับขี่ไปพร้อมๆ กัน
แดชบอร์ดทอดตัวยาวตามแนวนอน และเน้นยํ้าด้วยการแยกระหว่างความมีมิติที่ส่วนบนและฟังก์ชั่นการใช้งาน ด้านเทคนิคที่ส่วนล่างอย่างชัดเจน โดยส่วนบนมาพร้อมกับช่องแอร์สองชุด แยกสําหรับผู้ขับและผู้โดยสารโดยเฉพาะ เพื่อ ควบคุมอุณหภูมิได้แยกจากกัน การเลือกใช้โทนสีที่หรูหราและเปลี่ยนวัสดุตกแต่งใหม่ ทําให้โครงสร้างของแดชบอร์ดดูแยก ออกเป็นสองรูปทรงจนดูเหมือนกับลอยตัวอยู่ ช่วยเพิ่มสัมผัสที่บางเบาให้กับพื้นที่บริเวณนี้
แผงควบคุมของคอนโซลกลางทอดตัวตามแนวยาวแยกออกจากแดชบอร์ด จนดูราวกับเป็นส่วนที่ยื่นต่อเนื่อง ออกมาจากอุโมงค์เกียร์ด้านหลัง การตกแต่งส่วนนี้รวมไปถึงการเซาะร่องโดยเน้นการใช้วัสดุที่แตกต่างกัน ที่วางแขนติดตั้ง บริเวณส่วนตกแต่งของคอนโซลกลางและยื่นลงไปถึงส่วนที่เป็นพรม เผยให้เห็นการตัดกันของขอบสีเมทัลลิกจนเกิดเป็น จุดตัดระหว่างมิติทั้งสอง ด้านข้างของคอนโซลแบบเปิดโล่งช่วยเพิ่มสัมผัสแบบลอยตัวให้กับห้องโดยสารทั้งยังตกแต่งด้วย วัสดุที่สูงค่าและมาพร้อมกับที่เป็นโลหะรูปตัว Y ซึ่งเป็นที่ติดตั้งชุดร่องคันเกียร์อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
คุณภาพอากาศเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสําคัญในการพัฒนาห้องโดยสารที่เหนือชั้นของ Ferrari 12Cilindri หลังคา กระจกขนาดใหญ่แบบใหม่เคลือบด้วยฟิล์มพิเศษ จึงถูกนํามาใช้เพื่อเพิ่มความโอ่อ่าให้กับห้องโดยสารและทําให้ผู้นั่งสสัมผัส ได้ถึงความโปร่งโล่ง ทั้งยังมั่นใจได้ถึงการควบคุมอุณหภูมิที่ดีที่สุดทั้งในฤดูร้อนและหนาว เมื่อมองในด้านของการออกแบบ
หลังคากระจกสีเข้มยังเข้ากับส่วนบนของห้องโดยสารได้อย่างไร้ที่ติ ช่วยเพิ่มความสง่างามและเสริมภาพลักษณ์ ทั้งยังเป็น ตัวสร้างความเชื่อมโยงต่อเนื่องระหว่างกระจกหน้าและหลังอีกด้วย






Ferrari 12Cilindri มาพร้อมกับระบบ Human Machine Interface (HMI) รุ่นใหม่ ซึ่งประกอบด้วยจอแสดงผล 3 ตําแหน่งที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การเดินทางในยนตรกรรม Ferrari V12 Berlinetta ให้สูงขึ้นไปอีกระดับ ทั้งผู้ขับและ ผู้โดยสารสามารถควบคุมฟังก์ชั่นหลักทั้งหมดได้เพียงเอื้อมมือ ผ่านหน้าจอส่วนกลางขนาด 10.25 นิ้ว ระบบสัมผัส โดยมี จอแสดงผลขนาด 15.6 นิ้ว แยกสําหรับผู้ขับ เพื่อบอกข้อมูลการขับขี่และการทํางานต่างๆ ของรถ นอกจากนั้น ผู้โดยสารยัง รู้สึกมีส่วนร่วมในประสบการณ์การขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบราวกับเป็นผู้ช่วยนักขับ ผ่านจอแสดงผลขนาด 8.8 นิ้ว อีกด้วย
รถคันใหม่รุ่นนี้มาพร้อมกับพวงมาลัยระบบสัมผัส พร้อมปุ่มสําหรับควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ แบบเดียวกับที่เคยเห็น ไปแล้วในรถรุ่นใหม่ต่างๆ ของ Ferrari นั่นหมายถึง การสั่งงานต่างๆ สามารถทําได้อย่างแม่นยํามากขึ้น ทั้งยังรวดเร็วและ ง่ายดาย แม้ขณะขับขี่แบบสปอร์ต 12Cilindri รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto® โดย ทั้งสองระบบสามารถควบคุมได้ง่ายดายไม่ต่างกันผ่านจอแสดงผลส่วนกลาง นอกจากนั้น ยังมีระบบชาร์จแบบไร้สาย (อุปกรณ์มาตรฐาน) ติดตั้งมาให้ที่คอนโซลกลาง ทําให้สามารถชาร์จโทรศัพท์ได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย
ชุดเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ที่พัฒนาร่วมกับ Burmester® สามารถเลือกสั่งติดตั้งพิเศษให้กับ 12Cilindri ได้ ในชุดประกอบด้วยลําโพง 15 ตัวและมีกําลังขับมากถึง 1600 วัตต์ ช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ที่เพลิดเพลินอย่างที่ ไม่เคยมีมาก่อน ในทุกระดับวอลลุ่มและทุกความเร็ว เสียงความถี่สูงกระจ่างชัดเป็นประกายด้วยเทคโนโลยี Ring Tweeter ที่ช่วยลดความเพี้ยนของเสียง ร่วมด้วยซับวูฟเฟอร์ Ultraflat Headliners แบบคอยล์คู่อันทรงพลัง ทําให้มั่นใจได้ว่าจะได้ เสียงที่หนักแน่นเต็มอิ่ม เพื่อประสบการณ์การฟังเพลงแบบ 360 องศา





อากาศพลศาสตร์ Ferrari 12Cilindri
วัตถุประสงค์หลักของแอโรไดนามิกส์ใน 12Cilindri คือการสร้างยนตกรรมที่สุขุมและสง่างาม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อ สมรรถนะ ปีกหลังสูง 25 มม. บนฝาท้ายและแอคทีฟแอโรคือสององค์ประกอบสําหรับท้ายรถ โดยปีกหลังทําหน้าที่สร้างแรง บีบอัดอากาศเพื่อรักษาประสิทธิภาพด้านอากาศของรถเมื่อมีแรงต้านน้อย ในขณะที่แผ่นรับอากาศด้านข้างทั้งสองฝั่งถูก กําหนดค่าการยกตัวไว้ 2 ระดับแตกต่างกันคือ Low Drag (LD – แรงต้านตํ่า) และ High Downforce (HD – แรงกดสูง) ตามลําดับ
ที่ตําแหน่ง Low Drag แผ่นรับอากาศจะแนบเป็นระนาบเดียวกับตัวถังรถ อากาศจึงวิ่งผ่านเหนือแผ่นนี้โดยไม่ถูก รบกวน ทําให้มันเหมือนล่องหนไปจากกระแสอากาศ ระบบจะยังคงใช้ตําแหน่งนี้ต่อไปจนกว่าความเร็วจะขึ้นไปถึง 60 กม./ ชม. ซึ่งแรงกดยังไม่ส่งผลใดๆ ต่อสมรรถนะของรถ เช่นเดียวกับขณะวิ่งด้วยความเร็วมากกว่า 300 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม ในระหว่างสองช่วงความเร็วนี้ แรงกดจะเข้ามามีบทบาทในช่วงกลางและสปอยเลอร์ทั้งสองจะยกตัวขึ้นตามแรงกระทําตาม
แนวยาวและแนวขวางของรถขณะเร่งความเร็ว ในตําแหน่ง High Downforce Ferrari 12Cilindri จะสร้างแรงกดสูงสุด เพื่อให้แน่ใจว่ารถมีแอโรไดนามิกส์ที่สมดุล
ใต้ท้องรถออกแบบให้เพิ่มประสิทธิภาพการรับโหลดที่เกิดขึ้นในแนวตั้ง โดยบริหารจัดการกับกระแสอากาศที่ไหล ออกมาจากหม้อนํ้าหลัก รูปแบบการจัดวางและความสูงของครีบระบายอากาศในช่องรับอากาศกึ่งกลางใต้ท้องรถ ทําหน้าที่ ลดผลกระทบของกระแสอากาศร้อนซึ่งมีพลังงานไม่สูงมาก ใช้ครีบ 2 ชิ้นติดตั้งไว้บริเวณพื้นที่แรงดันอากาศตํ่าหลังล้อหน้า โดยครีบดังกล่าวจะช่วยลดแรงดันส่วนเกินที่เกิดขึ้นในห้องเครื่อง จึงเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายตัวของอากาศ, ลดแรง ต้าน และสร้างแรงกดได้มากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับในกรณีของ 812 Competizione แรงกดใต้ท้องบริเวณส่วนหน้าของรถเกิดขึ้นจากตัวสร้างกระแสลม หมุนจํานวน 3 คู่ ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วในอุโมงค์ลม และใต้ท้องรถส่วนหน้ายังมาพร้อมกับระบบระบายความร้อนเบรก โดยนํากระแสอากาศอุณภูมิตํ่ามาจากสปลิตเตอร์ด้านหน้า
ใต้ท้องรถช่วงกลางได้รับการออกแบบให้แยกการไหลของอากาศเพื่อคงพลังงาน (อากาศ) เอาไว้ตลอดทาง จนกระทั่งถูกระบายออกผ่านดิฟฟิวเซอร์ที่กันชนหลัง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องลดขนาดโพรงอุโมงค์เกียร์ลงเพื่อปรับสมดุลปริมาณ อากาศที่ต้องไหลไปตามอุโมงค์ ใต้ท้องรถส่วนท้ายที่เริ่มยกตัวสูงขึ้นจากช่วงด้านหน้าของล้อหลังช่วยบังลมให้กับยางและ ยกกระแสอากาศให้วิ่งออกไปท้ายรถ
ส่วนท้ายของใต้ท้องรถมาพร้อมกับตัวสร้างอากาศหมุนวน 1 คู่ ใช้สําหรับสร้างแรงกดและแยกกระแสอากาศให้ ไหลไปยังดิฟฟิวเซอร์ สอดคล้องกับปรัชญาของ Ferrari ในการถ่ายทอดนวัตกรรมจากโลกแห่งการแข่งขันสู่รถสปอร์ต สําหรับขับขี่บนถนน ทีมวิศวกรออกแบบทางเข้าอากาศใกล้กับขอบด้านนอกของกันชนหลังเพื่อระบายความร้อนให้กับ อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ของหม้อพัก
ระบบระบายความร้อน
ความร้อนที่กระจายออกมาจากเครื่องยนต์และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องต่างๆ ทําให้ต้องออกแบบระบบระบายความร้อน ของรถขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยปรับปรุงการถ่ายเทความร้อนบริเวณใต้ท้องส่วนหน้ารถให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ด้วยช่องเปิดที่มีไม่ตํ่า กว่า 7 ช่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่องว่างตามแนวยาวของแชสซีส์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของหม้อนํ้าและอุปกรณ์ของระบบปรับ อากาศ ซึ่งรับอากาศมาจากช่องช่วงกลาง (ของใต้ท้องรถ)
ในขณะที่แผงระบายความร้อนนํ้ามันเครื่องถูกแยกออกเป็น 2 ชุด จัดวางไว้ก่อนถึงล้อหน้าทั้งสองฝั่ง ช่องรับอากาศด้านข้างก็แยกออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนนอกออกแบบมาเพื่อระบายความ ร้อนให้แผงรังผึ้งนํ้ามันเครื่อง ขณะที่ช่องด้านในใช้ลดความร้อนให้เบรก
ปล่องระบายความร้อนเบรกขนาดใหญ่ได้รับลมที่ใช้ในการระบายความร้อนมาจาก 2 ช่อง ช่องหนึ่งอยู่ระหว่างช่อง รับลมไปยังหม้อนํ้า ส่วนอีกช่องอยู่บริเวณส่วนล่างของสปลิตเตอร์กันชนหน้า ระบบทั้งหมดติดตั้งรวมอยู่ในช่องรับอากาศ ของแผงระบายความร้อนนํ้ามันเครื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของช่องดักอากาศสําหรับระบบเบรก ช่องดักอากาศ ด้านข้างล้อมรอบด้วยชิ้นส่วนรูปตัว L ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มปริมาณอากาศเข้าสู่ช่องรับ และส่งต่อกระแสลมไปตาม ด้านข้างตัวถังได้อย่างถูกต้อง
อากาศในห้องเครื่องถูกระบายออกทางช่องทั้งสองชิ้นบนฝากระโปรงหน้าเพื่อลดแรงดันอากาศส่วนเกิน จึงช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการลดความร้อนได้มากยิ่งขึ้น และด้วยช่องระบายบนฝากระโปรง จึงไม่จําเป็นต้องมีช่องระบายใต้ท้องรถ มากนัก ทําให้รถสามารถสร้างแรงกดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ที่แก้มซุ้มล้อหน้าบริเวณด้านหลังล้อ มีช่องสําหรับ ลําเลียงอากาศออกจากซุ้มล้อเพื่อลดแรงดันส่วนเกินใต้ท้องรถ ซึ่งเกิดจากท่อดักอากาศของระบบเบรกและดิฟฟิวเซอร์ ด้านหน้า




ระบบควบคุมไดนามิกส์และช่วงล่าง
12Cilindri ใช้ระบบควบคุมไดนามิกส์สําหรับรถ Berlinetta เครื่องยนต์วางหน้าที่ลํ้าหน้าอย่างยิ่ง ระบบ Brake-by-wire ช่วยให้สามารถนํานวัตกรรมต่างๆ เข้ามาทํางานร่วมด้วยได้ นั่นรวมไปถึงระบบ ABS Evo ซึ่งเปิดตัวครั้งแรก ไปในรุ่น 296GTB และเซ็นเซอร์ 6D ที่ช่วยรับประกันว่าจะช่วยเพิ่มความแม่นยําให้กับระบบ Virtual Short Wheelbase (PCV) 3.0 และระบบ Side Slip Control (SSC) 8.0 ตลอดจนลดระยะเบรกให้สั้นลงและทํางานได้เที่ยงตรงแม้ขณะเบรกซํ้าๆ ติดต่อกัน นวัตกรรม Aspirated Torque Shaping ซึ่งมีตรรกะการควบคุมแบบใหม่ล่าสุด ที่ช่วยให้สามารถถ่ายทอด พละกําลังจากเครื่องยนต์แบบไม่มีระบบอัดอากาศระดับตํานานตัวนี้ออกมาได้อย่างราบรื่นนุ่มนวล ซึ่งต้องยกความดี ความชอบให้กับระบบควบคุมอิเลกทรอนิกส์แบบใหม่นี้
SSC 8.0 เป็นพัฒนาการใหม่ของระบบควบคุมอันเลื่องชื่อจาก Ferrari ช่วยให้ระบบสามารถสื่อสารส่งข้อมูลระหว่าง กันได้โดยใช้ภาษาเดียวกัน เพื่อคํานวณรูปแบบปฏิบัติการที่เหมาะสมที่สุดสําหรับแต่ละระบบ จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ โดยรวมของรถ ระบบ SSC 8.0 ช่วยรวบรวมระบบควบคุมต่างๆ ของ 12Cilindri เข้าไว้ด้วยกัน และสร้างการทํางาน ร่วมกันกับระบบ ABS Evo ใหม่ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ระบบ SSC 8.0 เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะของ Ferrari และได้รับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความแม่นยําในการประเมินค่า และเพิ่มความรวดเร็วในการเรียนรู้ (เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้) รวมไปถึงการควบคุมขณะขับขี่บน สภาพการยึดเกาะตํ่า การประเมินแรงยึดเกาะทําควบคู่ไปกับตรรกะการจดจําแรงยึดเกาะ โดยใช้ข้อมูลจาก CPU ของระบบ EPS และระดับองศาการลื่นไถลที่ประเมินโดยระบบ SSC 8.0 ส่งให้ 12Cilindri สามารถประเมินระดับแรงยึดเกาะของ ยางได้แม้ขณะหักเลี้ยว ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงขณะขับขี่ที่ขีดจํากัดสูงสุดเท่านั้น แต่ระบบยังสามารถประเมินแรงยึดเกาะได้ขณะ ขับขี่ใช้งานทั่วไป ซึ่งยิ่งช่วยให้ระบบสามารถเรียนรู้ระดับการยึดเกาะที่แท้จริงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
12Cilindri มาพร้อมกับระบบเลี้ยวสี่ล้ออิสระ (4WS) ที่เปิดตัวครั้งแรกในรุ่น 812 Competizione ซีรีส์พิเศษ ทํางานด้วยการบริหารการเคลื่อนไหวของแต่ละล้อแยกอิสระ เพื่อจัดการกับมุม Yaw ขณะเข้าโค้งและตอบสนองต่อการ เปลี่ยนทิศทางไปมาอย่างรวดเร็ว
ระบบเลี้ยวล้อหลังใช้นวัตกรรมกลไกแบบใหม่ที่ช่วยให้สามารถควบคุมตําแหน่งของแอคชู เอเตอร์แต่ละชุดได้แม่นยํายิ่งขึ้น (ล้อหลัง) จึงทํางานได้รวดเร็ว ส่งให้รถตอบสนองขณะอยู่ในโค้งได้ดีขึ้นตามไปด้วย ในขณะ ที่แฮนด์ลิ่งก็สามารถมั่นใจได้ด้วยการกระจายนํ้าหนักที่ใกล้เคียงกับคําว่ายอดเยี่ยม ด้วยอัตราส่วน 48.4% ที่ล้อหน้า และ 51.6% ที่ล้อหลัง นอกจากนั้น รถยังตอบสนองได้ดีขึ้นจากความยาวฐานล้อที่สั้นกว่ารุ่น 812 Superfast ถึง 20 มม. และ 12Cilindri Spider ด้วยอัตราส่วน 47.8% ที่ล้อหน้า และ 52.2% ที่ล้อหลัง นอกจากนั้น รถยังตอบสนองได้ดีขึ้นจากความ ยาวฐานล้อที่สั้นกว่ารุ่น 812 GTS ถึง 20 มม.

ล้อและยาง
สามารถเลือกใช้ยางได้ทั้ง Michelin Pilot Sport S5 และ Goodyear Eagle F1 Supersport กับ 12Cilindri โดยทั้งสองชุด เป็นขนาดใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อ Ferrari โดยตรง ล้อหน้าขนาด 275/35ZR21 และ 315/35ZR21 สําหรับล้อ หลัง พัฒนาด้วยการทดสอบจริงและด้วยเครื่องจําลองที่ช่วยลดจํานวนยางต้นแบบ ตลอดจนระยะเวลาและจํานวนรอบการ ทดสอบให้น้อยลง
ยางมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจากการนําเนื้อยาง, คอนเซปต์การออกแบบดอกยาง และคุณลักษณ์ของขอบยาง ซึ่งต่าง ก็เป็นเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้ การทดสอบหลากหลายรูปแบบนําไปสู่การเพิ่มสมรรถนะ, ระดับแรงยึดเกาะบนถนนแห้งและ ความสมดุล, ความเสถียรเมื่ออยู่บนขีดจํากัดสูงสุดและบนถนนเปียก ตลอดจนเพิ่มความนุ่มนวลและลดเสียงรบกวนทั้ง ภายนอกและที่ดังเข้ามาในห้องโดยสาร รวมไปถึงลดแรงต้านขณะหมุนลงได้ 10% เมื่อเทียบกับยางที่ใช้ใน Ferrari Berlinetta เครื่องยนต์ V12 วางหน้า รุ่นที่แล้ว



ช่วงล่าง
ช่วงล่างของ 12Cilindri ทําจากอลูมิเนียมทั้งหมด ร่วมด้วยความยาวฐานล้อที่ลดลง 20 มม. เมื่อเทียบกับ 812 Superfast และต่างก็เป็นของที่ออกแบบใหม่ทั้งสิ้น มีการให้ความสําคัญเป็นพิเศษกับชิ้นส่วนที่ขึ้นรูปด้วยการหล่อ อาทิ จุดรับช็อคอับด้านบน, เสา A และเสา C เป็นต้น เพื่อเพิ่มความต้านทานการบิดตัวและลดนํ้าหนัก
ห้องโดยสารที่อยู่บนแชสซีส์รุ่นใหม่ ลด NVH และมีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม ด้วยการใช้เส้น สายที่แม้ดูเรียบง่ายสะอาดตา แต่กลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้นโดยไม่ทําให้มีนํ้าหนักเพิ่ม เมื่อเทียบกับ Ferrari V12 รุ่นก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือโครงสร้างทนต่อการบิดตัวได้มากขึ้น 15% เทียบกับรุ่น 812 Superfast จึงให้การยึดเกาะถนนที่คาดเดาได้ ง่ายยิ่งขึ้น จากการทํางานของช่วงล่างที่แม่นยํากว่าเดิม (เนื่องจากตัวถังบิดตัวน้อยลง) และจากการผลิตด้วยวิธีหล่อขึ้นรูป
จึงลดจํานวนชิ้นส่วนแบบอัดขึ้นรูปซึ่งต้องใช้การประกบเข้าด้วยกัน ลงได้อย่างมาก ทําให้กระบวนการประกอบมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และนับเป็นครั้งแรกของรถโปรดักชั่นจาก Ferrari ที่นําโลหะผสมแบบพิเศษ (Secondary Alloy: การนําเศษ อลูมิเนียมมาหลอมใช้ใหม่) ซึ่งสามารถรีไซเคิลได้ 100% มาใช้ในการทําส่วนรองรับช็อคอับของซับเฟรมชุดเกียร์ ช่วยลด มลพิษจากคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 146 กก. คาร์บอนฯ เทียบเท่า ต่อรถ 1 คัน ด้วยการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีคุณลักษณะทางกลไกสูงเช่นเดียวกับอัลลอยแบบรีไซเคิล เนื่องจากมีความต่างขององค์ประกอบ ทางเคมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สําหรับช่วงล่างของ 12Cilindri Spider ทำจากอลูมิเนียมทั้งหมด ร่วมด้วยความยาวฐานล้อที่ลดลง 20 มม. เมื่อ เทียบกับ 812 GTS และต่างก็เป็นของที่ออกแบบใหม่ทั้งสิ้น มีการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับชิ้นส่วนที่ขึ้นรูปด้วยการหล่อ อาทิ จุด รับช็อคอับด้านบน, เสา A และเสา C เป็นต้น เพื่อเพิ่มความต้านทานการบิดตัวและลดน้ำหนัก
ผลลัพธ์ที่ได้คือโครงสร้างทนต่อการบิดตัวได้มากขึ้น 15% จึงให้การยึดเกาะถนนที่คาดเดาได้ง่ายยิ่งขึ้น จากการทำงาน ของช่วงล่างที่แม่นยำกว่าเดิม (เนื่องจากตัวถังบิดตัวน้อยลง) และจากการผลิตด้วยวิธีหล่อขึ้นรูป จึงลดจำนวนชิ้นส่วนแบบอัดขึ้นรูป ซึ่งต้องใช้การประกบเข้าด้วยกัน ลงได้อย่างมาก ทำให้กระบวนการประกอบมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น น้ำหนักเบาคือสิ่งสำคัญในการ พัฒนาแชสซีส์และตัวถังของ 12Cilindri Spider ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า Ferrari 12 Cilindri เพียง 60 กก. เท่านั้น นับเป็น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนี้ เกิดขึ้นจากการพัฒนานวัตกรรมเพื่อรถคันนี้โดยเฉพาะ
ตัวถังมาพร้อมกับคานอลูมิเนียมเสริมความแกร่งที่เชื่อมต่ออยู่ระหว่างโรลบาร์ด้านหลังผู้โดยสารกับเสา B วิธีนี้ช่วยลด น้ำหนักลงได้อย่างมาก ส่งผลให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง ส่วนโค้งที่อยู่เหนือศีรษะของผู้ขับและผู้โดยสารช่วยเพิ่มเฮดรูมทำให้ได้ความ สะดวกสบายและมีพื้นที่กว้างขวาง หลังคาแข็งแบบพับได้ (RHT – Retractable Hard Top) ใช้เวลาเพียง 14 วินาที ในการเปิด หรือปิด และสามารถทำงานได้ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 45 กม./ชม.
ระบบกลไกการเคลื่อนที่อันงดงามทว่าเรียบง่าย ร่วม ด้วยการใช้ (หลังคา) อลูมิเนียม ทำให้นี่เป็นทางเลือกที่มีน้ำหนักเบาที่สุดเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่นๆ เติมเต็มพื้นที่หลังคาด้วยกระจก หลังซึ่งสามารถปรับระดับการเปิดปิดได้ ฟีเจอร์นี้มอบความเหนือระดับของความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารเมื่อขับแบบเปิด หลังคา ช่วยให้สามารถพูดคุยกันในรถได้ด้วยระดับเสียงปกติที่ความเร็วถึง 200 กม./ชม. หรือมากกว่านั้น
ราคาอย่างเป็นทางการ Ferrari Purosangue เริ่มต้น 40,500,000 บาท | V12 6.5 NA 725 แรงม้า The First-SUV
ราคาอย่างเป็นทางการ Ferrari Purosangue เริ่มต้น 40,500,000 บาท | V12 6.5 NA 725 แรงม้า The First-SUV























