นาย จาง ชง ผู้จัดการทั่วไป Geely Riddara ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทแม่ที่ประเทศจีนได้มีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อศึกษาการลงทุนในประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยมีความเป็นไปได้ในการศึกษาการลงทุนในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการลงทุนด้วยตัวเอง และ การร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศไทย
ส่วนประเด็นที่ ประธาน Geely Holding Group ประกาศว่าจะไม่มีการขยายโรงงานเนื่องจากกำลังการผลิตเกินความจำเป็นแล้วนั้น ยืนยันว่า ประธานบริษัทได้กล่าวเช่นนั้นจริง แต่ในส่วนของโรงงานผลิตรถกระบะ RADAR (ชื่อที่ใช้ในประเทศจีน) หรือ RIDDARA นั้นทั้งในโรงงานที่ประเทศจีนเองก็ยังมีกำลังการผลิตในระดับต่ำอยู่
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : RIDDARA เล็งตั้งฐานผลิต EV-PHEV ในไทย ตั้งเป้าปี’68 ขาย 1 หมื่นคัน
ประกอบกับ ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญของแบรนด์ โดยเฉพาะการเป็นตลาดรถกระบะขนาดใหญ่ของภูมิภาค บริษัทจึงยังคงมองว่า “สมควรแก่การลงทุน” เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวา ส่วนการลงทุนจะเป็นการตั้งโรงงานสำหรับแบรนด์อื่น ๆ ในเครือ Geely ด้วยหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้ในขณะนี้ ซึ่งคาดว่าภายใน 3 เดือน จะมีความคืบหน้าในประเด็นการลงทุน
หลังจากนี้จะเริ่มเห็นความชัดเจนของแบรนด์ในเครือ GEELY Hondling Group ได้แก่ Geely, Riddara, Zeekr, Lynk&Co ภายใต้นโยบาย ONE GEELY ทั่วโลก รวมถึง ประเทศไทย โดยสำหรับในไทยจะมีการอัปเดตความคืบหน้าในอีกครั้ง ซึ่งจะมีการดำเนินการบางอย่างภายใต้นโยบายดังกล่าวที่อาจจะเป็นการบริการหลังการขาย, กิจกรรมทางการตลาด รวมถึงการขาย
ด้านแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2568 นี้ จะมีการเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้า 100% ที่เจาะกลุ่มลูกค้าเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีการปรับลดออปชั่นและราคาที่เข้าถึงได้ง่ายมากกว่า รุ่นปัจจุบันที่วางจำหน่ายในประเทศไทย คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงแต่ไตรมาส 3/2568 และเริ่มส่งมอบทันที
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : RIDDARA เล็งรวมการขาย-เซอร์วิส โชว์รูมเดียวกับ GEELY ในไทย
ส่วนในปี 2569-2571 มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์อย่างน้อย 3 รุ่น โดยในปี 2569 มีแผนจะเปิดตัวรถกระบะ RD6 EM-P ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีพลังงานปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมียอดขายอยู่ในระดับ 10,000 คัน ส่วนหลังจากนั้นอยู่ระหว่างการพัฒนาในกลุ่มรถกระบะ Heavy Duty และ Full-Size ซึ่งมีทั้งเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า 100% และ ปลั๊กอินไฮบริด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ลุ้นเปิดตัวในไทย! GEELY RIDDARA RD6 PHEV โชว์ตัวครั้งแรกที่ Shanghai Auto Show 2025
ขณะที่ Geely Riddara ได้เริ่มทำการตลาดในช่วงปี 2566 ในประเทศจีน, อเมริกาใต้, อาเซียน (ตลาดพวงมาลัยซ้าย), แอฟริกา และเริ่มขยายไปยังต่างประเทศในช่วงปี 2567 กว่า 50 ประเทศ รวมถึงไทย และ ชิลี และในปี 2568 มีแผนขยายไปยัง ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, เม็กซิโก และ บราซิล ส่วนในปี 2569 ขยายไปยังสหรัฐอเมริกา, แคนนาดา และยุโรป
สำหรับตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในช่วงเดือน ตุลาคม 2567 บริษัทสามารถส่งมอบรถกระบะไฟฟ้าไปได้แล้วมากกว่า 500 คัน และมีการขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย (โชว์รูม) จำนวน 18 แห่ง ทั่วประเทศ แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 10 แห่ง และต่างจังหวัด 8 แห่ง
“บริษัทตั้งเป้าหมายในกลุ่มตลาดรถกระบะอยู่ที่ ท็อป 5 (Top 5) ใน 3 ปี จากนี้”
ขณะเดียวกัน ได้การทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้ากลุ่มองค์กร และ ลูกค้าฟลีท ซึ่งล่าสุดได้ส่งมอบให้กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) เป็นต้น
นอกจากนั้น ในช่วงต้นเดือน พฤษภาคม 2568 บริษัทได้มีการจัดการประชุมผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) เพื่อวางแผนหารือการบริหารงานร่วมกับ พร้อมการประกาศนโยบาย ราคาเดียวทั่วประเทศ (One Price Policy) เพื่อให้ดีลเลอร์โฟกัสในด้านบริการหลังการขาย และป้องกันไม่ให้เกิดการแข่งขันในการลดราคา ซึ่งบริษัทยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วมในการแข่งขันสงครามราคา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : RIDDARA ลั่น! ตั้งราคาสู้กระบะเจ้าตลาด แย้มแผนศึกษาตั้งโรงงานในไทย
อีกทั้งมีการประกาศเป้าหมายยอดขายในปี 2568 ไว้ที่ 5,000 คัน ซึ่งลดลงจากเป้าหมายที่วางไว้นับตั้งแต่เข้ามาเริ่มต้นการทำธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก โดยคาดว่าสัดส่วนราว 30% จะมาจากกลุ่มลูกค้าฟลีท และหลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้นลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ ก็จะเติบโตไปพร้อมกัน
พร้อมการโฟกัสดีลเลอร์จำนวน 18 แห่งให้มีความแข็งแกร่ง ส่วนเป้าหมายการขยายโชว์รูมคาดว่าจะเพิ่มเป็น 40 แห่ง ซึ่งการโฟกัสดีลเลอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันของบริษัทมองว่า ด้วยสถานการณ์ในประเทศไทยปัจจุบันที่มีความท้าทายหลายด้าน ดังนั้นจึงอยากให้โฟกัสให้ดีลเลอร์มีความสามารถในการแข่งขันและมีความคุ้มค่าในด้านการลงทุน
ปัจจุบัน ได้มีการก่อตั้ง RIDDARA OWNERS CLUB เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการใช้งานและสื่อสารกันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค โดยจากข้อมูลพบว่า 68% เป็นกลุ่มลูกค้า เจ้าของธุรกิจ, 25% เป็นกลุ่ม พนักงานทั่วไป และ อื่น ๆ 7%
ส่วนปัจจัยในการตัดสินใจซื้อ ส่วนใหญ่ มาจากความสนใจเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) และ รองลงมาคือ ต้นทุนการเป็นเจ้าของต่ำ (Cost of Ownership) ประกอบกับความหลากหลายในการใช้งานที่มีอยู่ในตัวรถทั้งฟังก์ชั่นของรถกระบะและความสะดวกสบายของรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV)