รายงานข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า Automotive News รายงานถึงบันทึกข้อความของ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (Ford Motor Company) อาจมีการปรับขึ้นราคารถยนต์รุ่นใหม่หาก นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยังคงใช้มาตรการทางภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ตามบันทึกข้อความที่ส่งให้ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ โดยได้มีการนำเสนอโปรโมชั่นส่วนลดสำหรับรถยนต์ทุกรุ่นตั้งแต่ต้นเดือน เมษายน–มิถุนายน แต่ราคาของรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะผลิตในเดือน พฤษภาคม เป็นต้นไป อาจมีการเปลี่ยแปลง
แอนดรูว์ ฟริก ผู้บริหารของ ฟอร์ด กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้ามีทางเลือกรถยนต์และพร้อมส่งมอบจนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งหากสถานการณ์ภาษีนำเข้ามีการเปลี่ยนแปลง ยังต้องประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อไป และหากราคาของรถยนต์ที่ผลิตในเดือน พฤษภาคม และหลังจากนั้นเปลี่ยนแปลงไปผู้บริโภคจะไม่เห็นการปรับขึ้นราคาจนกว่าจะถึงต้นเดือน กรกฎาคม
ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ได้ทำความเข้าใจกับผู้บริโภคที่มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางภาษีที่จะเกิดขึ้นทำให้ต้นทุนในการขายเพิ่มสูงขึ้น โดยเสนอการรับประกันราคาและส่วนลดจำนวนมาก ซึ่งผลกระทบระยะสั้นของมาตรการภาษีทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น โดยได้มีการแจ้งเตือนว่าจะหากมาตรการทางภาษีมีผลบังคับใช้จะทำให้ถูกบังคับปรับขึ้นราคาอย่างมาก
“หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในมาตรการทางภาษีตามที่ระบุไว้จนถึงปัจจุบัน คาดว่าจะมีความจำเป็นต้องปรับราคาของรถยนต์ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นกับการผลิตในเดือนพฤษภาคม”
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์โดยศูนย์วิจัยยานยนต์ที่เผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายนเผยให้เห็นว่าภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ของทรัมป์ ซึ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 เมษายน จะทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 1.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568
สำหรับ Ford เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีสัดส่วนราว 80% ของปริมาณการผลิต เพื่อจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่ ในช่วงต้นสัปดาห์ ทรัมป์ ได้เสนอแนวคิดที่กำลังจะพิจารณาแก้ไขภาษีที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ซึ่งอาจให้การยกเว้นภาษีที่มีอยู่แล้ว
ที่มา : Reuters