นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า TOYOTA อยากให้เสนอรัฐบาลสร้างเสถียรภาพให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยภายใต้ 3 เรื่องหลักดังนี้
- ขอให้รัฐสนับสนุนตลาดรถยนต์ทุกเซกเมนต์ ซึ่งโตโยต้ามองว่ารัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพราะกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่กลับมาเต็มที่ หากมีมาตรการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม จะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่ออุตสาหกรรมโดยรวม
- ปกป้องฐานการผลิตในประเทศและซัพพลายเชนจ์ โดยโตโยต้าเรียกร้องให้รัฐพิจารณามาตรการภาษีที่เป็นธรรมต่อผู้ผลิตในประเทศ และให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ใช้ชิ้นส่วน–วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงของซัพพลายเออร์ที่เริ่มได้รับผลกระทบจากยอดขายภายในประเทศที่หดตัว
- ส่งเสริมการส่งออก ซึ่งโตโยต้าเสนอว่าควรปรับมาตรการเพื่อรองรับและส่งเสริมการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทย และเร่งแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะความขัดแย้งบริเวณชายแดนส่งผลโดยตรงต่อซัพพลายเออร์ ที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งจากทางบกไปทางเรือ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและการผลิตล่าช้า บริษัทจึงหวังว่ารัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาให้การขนส่งกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว
ทั้งนี้ โตโยต้ายังคงยึดนโยบายหลักคือ การผลิตในประเทศ ใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศให้มากที่สุดเพื่อคงความแข็งแรงของซัพพลายเชนไทย แต่ยอมรับว่ากำลังเผชิญความท้าทายจากกฎเกณฑ์ภาษีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะมาตรการใหม่ด้านพลังงานและเทคโนโลยี
“โตโยต้าจะยังคงพยายามรักษาฐานการผลิตในประเทศไทยให้ได้ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ถือว่ามีสัดส่วนกว่า 10% ของอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และการจ้างงานมากกว่า 900,000 คน“
ด้าน ภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทย 10 เดือน (มกราคม–ตุลาคม) ของปี 2568 อยู่ที่ 495,000 คัน กลับมาฟื้นตัวเล็กน้อยเติบโตขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะปิดตัวเลขอยู่ที่ 600,000 คัน โดยมองว่าในปี 2569 ภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะอยู่ที่ 630,000 คันเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้โดยบริษัทยังมั่นใจว่าปีหน้าจะดีกว่าปีนี้แต่ก็จะต้องขึ้นอยู่ว่าเศรษฐกิจในประเทศไทยจะสามารถฟื้นตัวได้มากแค่ไหนขณะที่ปัจจัยนอกประเทศเช่นความไม่แน่นอนทางการเมืองโลกและนโยบายขึ้นภาษีในบางภูมิภาคยังเป็นตัวแปรที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
สำหรับ TOYOTA คาดว่าปี 2568 จะสามารถปิดตัวเลขยอดขายได้อยู่ที่ 227,000 คัน หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ราว 38% ได้อย่างแน่นอน
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า โตโยต้า เป็นห่วงสถานการณ์ตลาดในเวลานี้ที่สงครามราคากระทบระบบนิเวศยานยนต์ในประเทศไทย (Ecosystem) ที่อาจจะกระทบต่อราคาตลาดรถยนต์มือสอง ซึ่งทำให้การหมุนเวียนของการซื้อ–ขาย ในตลาดลดลงซึ่งก็จะส่งผลกระทต่อรถใหม่ใช่เดียวกัน ซึ่งโดยปกติสัดส่วนการเปลี่ยนรถโดยนำรถเก่ามาขายเปลี่ยนเป็นรถใหม่ (Trade-in) มีสัดส่วนอยู่ที่ 30-40% ของตลาด นอกจากนั้นปัจจัยดังกล่าวส่งผลกับการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน (ไฟแนนซ์) เช่นเดียวกัน






