เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย (GWM Thailand) เปิดเผยว่า ในปี 2569 บริษัทมีแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่างน้อย 5 รุ่น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดรถยนต์ประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3.5% จากปี 2568 อยู่ที่ราว 3%
ทั้งนี้ ในปี 2568 ถือเป็นปีที่ดีมากของ GWM Thailand โดยยอดขาย 10 เดือน (มกราคม – ตุลาคม) มียอดขายอยู่ที่ 13,313 คัน เติบโตขึ้น 124% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะปิดตัวเลขอยู่ที่ 17,000 คัน เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายรวมอยู่ที่ราว 7,000 คัน
ขณะที่ คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 600,000 คัน เติบโต 3-5% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 20% ของตลาดรวมและมองว่าใน 3-5 ปี ตลาดอาจจะมีการขยายตัวไม่มากในระดับ 1-2% เท่านั้น

ด้านการแข่งขันของสงครามราคาในปี 2568 นี้ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งคาดว่าในปี 2569 สถาการณ์ดังกล่าวอาจจะมีอยู่ที่ความรุนแรงจะลดลง เพราะเชื่อว่าไม่มีใครที่จะทำสงครามราคาไปได้ตลอดประกอบการเงินสนับสนุนของถาครัฐที่ในปี 2569 จะลดลงตามเงื่อนไขโครงการจะทำให้สถานการณ์เริ่มเบาบางลง
สำหรับการผลิตชดเชยของ GWM ในโครงการสนับสนุนยานยยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 บริษัทไม่มีความกังวลใด ๆ เนื่องจากบริษัทสามารถทำได้ตามข้อกำหนดของรัฐบาลได้แน่นอน โดยบริษัทมีการผลิตชดเชยไปแล้ว 3,000 คันในปี 2567 และปีนี้คาดว่าจะผลิตชดเชยได้อีก 10,000 คัน ซึ่งได้มีการส่งออกไปแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนการผ่อนผันมาตรการการส่งออกให้กับผู้ประกอบการถือเป็นสิ่งที่ดีในการช่วยเหลือ
นอกจากนั้น ในปี 2569 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ครั้งใหญ่อีกครั้งในด้านการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่, การสิ้นสุดโครงการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 ซึ่งเหล่านั้นอาจส่งผลกับต้นทุนราคาของรถยนต์ โดยในส่วนของบริษัทมองว่าคงจะยากที่เมื่อต้นทุนปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ แต่จะยังคงราคาไว้ ดังนั้นปีหน้า GWM อาจมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายรถในกลุ่ม รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) อย่างแน่นอน
ส่วนแผนการขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย (พาร์ทเนอร์) ในปี 2569 จะมีแผนการขยายเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่ง จากปัจจุบันมีจำนวนอยู่ที่ 75 แห่ง และถือเป็นการขยายพาร์ทเนอร์เพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากไม่มีการขยายในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยที่ผ่านมาบริษัทได้คำนึงถึงผลกระทบจากสงครามราคาที่มีต่อพาร์ทเนอร์ซึ่งเมื่อ TANK ของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีส่งผลให้สามารถสร้างผลตอบแทนจากการจำหน่ายและบริการหลังการขายเป็นหลักได้ ประกอบกับบริษัทได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่และแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวพร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ WEY ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ 5 ได้แนะนำ WEY G9 รถยนต์ในกลุ่มอเนกประสงต์ (MPV) พรีเมี่ยมมาเสริมไลน์อัปโมเดลของแบรนด์
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : GWM WEY G9 Hi4 ราคาอย่างเป็นทางการ : 2,349,000 บาท (นำเข้า มาเลเซีย) MPV 7 ที่นั่ง ประตูสไลด์ Plug-in Hybrid
อีกทั้งในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 หรือ มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2025 (Motor Expo 2025) บริษัทได้เปิดตัว GWM POER Sahar Diesel ซึ่งบริษัทมองว่ารถกระบะถือเป็นพื้นฐานของประเทศไทยที่มีฐานผู้ใช้งานครอบคลุมทั้งด้าน ท่องเที่ยว และ การเกษตร รวมถึงอื่น ๆ ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญอย่างมาก โดยในประเทศจีนบริษัทมีความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรถกระบะอย่างมากซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมกกว่า 50% ต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 27 ปี รวมถึงมีทางเลือกของขุมพลังเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย ทั้ง เบนซิน, ดีเซล, ปลั๊กอินไฮบริด Hi-4 จึงได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดังกล่าวเพื่อให้คนไทยได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและถือเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นซึ่งหลังจากนี้มีแผนที่จะนำเสนอเทคโนโลยีในกลุ่มรถกระบะอย่างต่อเนื่อง
นายเวย์น กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าตลาดรถกระบะในประเทศไทยนั้นไม่ง่ายโดยบริษัทได้ทำการศึกษาตลาดอย่างมากโดยได้มีการปรับผลิตภัณฑ์ทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่างให้เหมาะสมกับประเทศไทยโดยไม่ได้เน้นเพียงเฉพาะการทำราคาจำหน่ายเท่านั้นแต่บริษัทจะใช้แผนการสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์โดยบริษัทมีเทคโนโลยีชั้นสูงอยู่แล้วแต่จะต้องขึ้นอยู่กับผู้บริโภคในประเทศไทยจะตอบรับอย่างไรกับเทคโนโลยีอื่นๆของรถกระบะ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทอาจเสียโอกาสในการนำเสนอเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลที่ช้าไปบ้าง โดยในช่วงแรกบริษัทมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า 100% เป็นหลัก แต่บริษัทเป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่หลากหลายและพร้อมปรับตัวอยู่เสมอซึ่งไม่อยากให้มองว่า GWM เป็นแบรนด์ที่ไม่ปรับตัวแต่บริษัทเป็นแบรนด์ที่มีนโยบายระดับโลกในด้านความหลากหลายทางด้านเทคโนโลยี (Global Strategy Muitipowertrain) และพร้อมที่จะนำมาทำตลาดในประเทศไทยตามความต้องการของตลาด ซึ่งไม่ใช่จากนโยบายการสนับสนุนของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว โดยเทคโนโลยี Hi-4 ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่บริษัทมุ่งเน้นและจะมีการนำมาเสนอในรถยนต์รุ่นใหม่ๆต่อไปในอนาคต
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : GWM POER SAHAR DIESEL ราคาอย่างเป็นทางการ : 799,000 – 999,000 บาท | กระบะดีเซล 2.4 เทอร์โบ 2WD/4WD
ที่ผ่านมา ในการเปิดตัวรถกระบะเทคโนโนโลยีไฮบริดซึ่งเป็นรุ่นแรดที่บริษัทแนะนำผลิตภัณฑ์ในกลุ่มระบะลงสู่ตลาด ถือเป็นบทเรียนที่ทำให้บริษัทรู้จักตลาดในประเทศไทยสำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ได้ดี ซึ่งการเปิดตัวรถกระบะเทคโนโลยีดีเซลในวันนี้ถือเป็นการเปิดตัวที่ครบไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเทคโนโลยีดีเซล หลังจากเปิดตัวเทคโนโลยีดังกล่าวใน TANK 300 และ TANK 500
“ตลาดรถกระบะเป็นตลาดที่ท้าทายอย่างมากเราหวังว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้ในระยะยาว และในเวลานี้แม้ว่าตลาดรถกระบะจะชะลอตัว แต่บริษัทมองว่าเป็นโอกาสในการเปิดตัวนำเสนอผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใหม่ ๆให้ผู้บริโภคเปิดใจลอง”







