แม้ว่าธุรกิจยานยนต์จะอยู่ในช่วงชะลอตัวจากสถานการณ์ความท้าทายรอบด้านส่งผลให้มีการชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับความเชื่อมั่นของแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่เกิดจาก “สงครามราคา” และการบริการหลังการขายที่เป็นประเด็นผู้บริโภคหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอยู่เรื่อย ๆ
ครั้งนี้ถือได้ว่าวงการผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (ดีลเลอร์) มีความเคลื่อนไหวอีกครั้งเมื่อมี “กลุ่มทุนใหม่” สนใจที่จะกระโดดเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวนี้ด้วยการ เข้าซื้อกิจการโชว์รูมจากผู้ที่อยากจะ Exit จากวงการนี้ โดยกลุ่มทุนใหม่ที่กล่าวถึงนั้นคือ กลุ่มบริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ซึ่งอยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานโดยเฉพาะ “พลังงานถ่านหิน” มาอย่างยาวนาน
Autolifethailand ได้สัมภาษณ์ “ปองธรรม แดนวังเดิม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอจีอี เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ กลุ่มบริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ซึ่งมองเห็นโอกาสในการลงทุนธุรกิจคาร์บอนต่ำ (Low Emission Mobility) ซึ่งเป็นธุรกิจพลังงานสะอาดหรือธุรกิจสีเขียว
ล่าสุดจึงได้ตั้งบริษัทลูกภายใต้ชื่อ บริษัท เอจีอี ออโต้ แกลเลอรี่ จำกัด หรือ AAG เพื่อดำเนินธุรกิจยานยนต์โดยเริ่มเข้ามาสู่วงการนี้ในช่วงเดือน พฤศจิกายน ปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งทยอยเข้าซื้อกิจการ (Take Over) โชว์รูมรถยนต์ต่าง ๆ ในช่วงเริ่มต้น 9 โชว์รูม และปัจจุบันมีจำนวน 14 โชว์รูม จาก 4 แบรนด์ดังนี้
- ZEEKR จำนวน 5 โชว์รูม
- OMODA&JAECOO จำนวน 6 โชว์รูม
- CHERY AUTOMOBILE จำนวน 2 โชว์รูม
- MITSUBISHI จำนวน 1 โชว์รูม
ทั้งนี้ ในอนาคตมีแผนที่จะขยายการเป็นดีลเลอร์รถยนต์แบรนด์ใหม่และการเพิ่มจำนวนโชว์รูมแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบันเป็น 20 แห่ง ภายในปีนี้ ด้วยเงินลงทุนรวมมูลค่าราว 300 ล้านบาท ทั้งการเข้าซื้อกิจการและการลงทุนใหม่
ถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำถามว่า สถานการณ์เช่นนี้อะไรที่ทำให้บริษัทดังกล่าวตัดสินใจลงทุนด้วยจำนวนโชว์รูมในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน ที่เข้าซื้อกิจการโชว์รูมจำนวนมากกว่า 10 โชว์รูม! ซึ่งเกิดจากบริษัทตัดสินใจลงทุนและเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีการเจรจาทางธุรกิจกับผู้บริหารชาวไทยของแต่ละแบรนด์จึงเกิดความมั่นใจ รวมถึงบริษัทยังมีทีมงานผู้บริหารผู้เชี่ยวชาญธุรกิจซึ่งมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์มายาวนาน
ขณะที่ ในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจแล้วจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2568 ไว้ที่ 2,500 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีจากนี้ (2568-2573) และตั้งเป้าหมายที่จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดของดีลเลอร์อันดับ 1 ของทุกแบรนด์ที่บริษัทเข้าดำเนินธุรกิจ
“AGE เป็นบริษัทด้านพลังงานที่มองเห็นโอกาสในการลงทุนธุรกิจ Low Emission Mobility ตามแผนลงทุนเพื่อความยั่งยืนระยะยาวที่เน้นการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งมองว่าธุรกิจรถยนต์เป็นธุรกิจซื้อมาขายไปสินค้าโภคภัณฑ์สอดคล้องกับธุรกิจเดิมและช่วยเร่งการเปลี่ยนถ่ายการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานสะอาด (New Energy Vehicles)”
สำหรับ AGE ตั้งเป้าสัดส่วนธุรกิจคาร์บอนต่ำไว้ไม่น้อยกว่า 50% ของรายได้รวมกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าอยู่ที่ราว 20,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 30-35% ของรายได้คาดการณ์รวมในปี 2569 โดยมองว่าความต้องการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยมีการเติบโตต่อเนื่อง จากต้นทุนการใช้งานของรถไฟฟ้าต่อกิโลเมตรที่ต่ำกว่ารถที่ใช้น้ำมัน รวมถึงค่าพลังงานและค่าบำรุงรักษา อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการใช้รถไฟฟ้าในประเทศไทยในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 11% ขณะที่ประเทศสิงค์โปร อยู่ที่ประมาณ 32% จึงมองว่าประเทศไทยยังอยู่ในจุดเริ่มต้นของการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า