นายอนุจ ดัว หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โรยัล เอนฟิลด์ (Royal Enfield) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลาง (250-750 ซีซี.) ในประเทศไทย คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.5-2.7 หมื่นคัน ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน จากปัจจัยสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในประเทศไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว และคาดหวังว่าหลังจากนี้เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยนิ่งแล้วจะส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามลำดับ
“ตลาดรถจักรยานยนต์ในปีนี้เป็นปีที่ท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบในแง่ต่าง ๆ ทั้ง หนี้ครัวเรือน, กำลังซื้อผู้บริโภค เป็นต้น ซึ่งคาดหวังว่าหากการเมืองนิ่งจะส่งผลดีต่อสถานการณ์ในประเทศที่ดีขึ้น”
ทั้งนี้ Royal Enfield ตั้งเป้าเติบโต 10-20% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ที่ 4,000 คัน จากปัจจัยการขยายพื้นที่การจำหน่ายให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันมีผู้แทนจำหน่ายอยู่ที่ 36 แห่ง ใน 24 จังหวัด และมีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก 14 แห่ง ภายในปีงบประมาณ 2566 (หรือภายในเดือน มีนาคม 2567)
สำหรับ สถานการณ์ตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตขึ้น ยกเว้น ประเทศไทย และ ประเทศเวียดนาม ที่ยังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอยู่
ขณะที่ บริษัทได้ทำงานร่วมกับดีลเลอร์อย่างใกล้ชิดเพื่อจะวางแผนในการดำเนินธุรกิจในสภาวะตลาดชะลอตัว และมองว่าอาจจะทยอยฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในช่วงเวลาที่เหลือของปีมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 1 รุ่น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และในปีหน้ามีแผนที่จะเปิดตัวอีกอย่างน้อย 3 รุ่น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : Royal Enfield เปิดตัว Borderless Warranty เข้ารับบริการได้ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม Royal Enfield มีแผนการลงทุนในระดับโลกที่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานอยู่ ประเทศไทยเป็นฐานสำคัญในระดับภูมิภาค โดยปัจจุบันในประเทศไทยบริษัทมีสำนักงานย่อย ซึ่งเป็น 1 ใน 6 แห่ง ทั่วโลก และได้มีการประกอบในประเทศไทยจำนวน 7 รุ่น โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจประกอบเพื่อจำหน่ายในประเทศ