การเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ของ โตโยต้า ซึ่งมาพร้อมทางเลือกของขุมพลัง ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ในรุ่น Toyota Hilux TRAVO และพลังงานไฟฟ้า 100% ในรุ่น Toyota Hilux TRAVO-e ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นการขยับครั้งใหญ่ของแบรนด์ในแง่ผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นตลาดทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
สิ่งที่น่าสนใจในการเปิดตัวครั้งนี้อยู่ที่ Hilux TRAVO-e รถกระบะไฟฟ้า 100% ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก หลังจากแบรนด์พี่ใหญ่อย่างโตโยต้า ได้เผยโฉมรถกระบะไฟฟ้าต้นแบบโดย อากิโอะ โตโยดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ในช่วงปลายปี 2565 และจากนั้นได้มีการเริ่มทดสอบในประเทศไทยด้วยการนำไปเป็นรถสองแถวใน เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ในช่วงปี 2566-2567
ภายในงานเปิดตัวดังกล่าว “ศุภกร รัตนวราหะ” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้นำเสนอแนวคิดของแบรนด์ Multi – Pathway Strategy สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน จึงได้แนะนำ รถกระบะไฟฟ้า 100% ในรุ่นดังกล่าวซึ่งมาพร้อมตัวถัง Body-on-frame รุ่นแรกของโตโยต้าที่มีการวางจำหน่ายจริง ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยยึดถือหลักการ QDR (Quality-Durability-Reliability) รวมถึงยังมาพร้อมสมรรถนะและความทนทานตามมาตรฐานรถกระบะ Hilux ที่ติดตั้งเทคโนโลยี “Diamond Guard” ช่วยปกป้องแบตเตอรี่และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : Toyota Hilux TRAVO-e กระบะไฟฟ้า100% ราคาอย่างเป็นทางการ : 1,491,000 บาท (ผลิตไทย) | แบต 59.2 kWh
นอกเหนือจากแนวคิดและหลักการที่ โตโยต้า นำเสนอในผลิตภัณฑ์รถกระบะไฟฟ้าแล้วนั้น กลยุทธ์ทางการตลาดที่ถือเป็น “หมัดฮุค” ตรงเป้าเข้าจุดสำคัญของสิ่งที่ผู้บริโภคและผู้ใช้งานในกลุ่ม รถยนต์ไฟฟ้า 100% มีความสนใจและกังวลนั่นคือ ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งในด้าน เงื่อนไขการรับประกัน และ อัตราเบี้ยประกันภัย ซึ่ง โตโยต้า ได้เจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจบริษัทประกันภัยชั้นนำในอุตสาหกรรม ซึ่งประกาศอย่างชัดเจนว่า “ส่วนลดต่อปีสูงที่สุด” โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ส่วนลดเบี้ยประกันภัยปีถัดไปสูงสุด 40%
- สามารถต่อประกันภัยได้สูงสุด 8 ปี
- เบี้ยประกันภัยราคาถูกที่สุดในตลาด (ราคาเบี้ยเทียบกับความคุ้มครอง)
สำหรับ Hilux TRAVO-e ได้เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 ซึ่งรถกระบะไฟฟ้า 100% รุ่นดังกล่าวผลิตในประเทศไทยโดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ในอัตรา 95% พร้อมมีแผนการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศยุโรป โดยที่ผ่านมาได้มีการนำเข้า Toyota BZ4X รถยนต์อเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า 100% จากประเทศญี่ปุ่น และผลิตชดเชยในรุ่น Hilux TRAVO-e ภายใตเงื่อนไขของมาตรการ EV 3.5 คาดว่าจะผลิตจำนวน 5,000 คัน/ปี และตั้งเป้าหมายการขายอยู่ที่ 500 คัน/ปี โดยจะสามารถเริ่มส่งมอบได้ในช่วงเดือน ธันวาคม 2568 นี้ เป็นต้นไป
ขณะที่ หลังจากนี้การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรถกระบะของโตโยต้า HILUX Series จะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
- Hilux Revo : จับกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งสินค้าใช้งานหนัก
- Hilux TRAVO และ Hilux TRAVO-e : จับกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมเดินทางท่องเที่ยว
- Hilux Champ : จับกลุ่มภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs
อย่างไรก็ตาม รถกระบะ Hilux สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยได้มากกว่า 3.1 ล้านล้านบาท (อ้างอิงจากยอดผลิต Hilux Revo ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558-2567) โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โตโยต้า ใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกจากประเทศไทยออกสู่ 133 ประเทศทั่วโลก และมียอดขายสะสมมากกว่า 7.5 ล้านคัน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512








