นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการด้านกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยทางภาคใต้ของประเทศไทยปัจจุบันได้รับการรายงานความเสียหายของรถยนต์จำนวน 2,800 คัน และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากประชาชนในพื้นที่เริ่มสำรวจความเสียหายของที่พักอาศัยและทรัพย์สินใกล้ตัวเบื้องต้นแล้ว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ คปภ. ได้จัดตั้งศูนย์ภัยพิบัติประกันภัยภาคใต้ โดยได้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกจังหวัดภาคใต้ และนอกเหนือจากประกันรถยนต์แล้วยังได้มีการประสานงานกับบริษัทประกันวินาศภัยและบริษัทประกันภัยทั้งหมดเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อนรวมถึงขอความร่วมมือบริษัทกันต่าง ๆ ให้เร่งจ่ายเงินให้ถูกต้องและรวดเร็วที่สุด

สำหรับ ความเสียหายเบื้องต้นสำหรับรถยนต์ที่ประสบภัยจะต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.รถยนต์สันดาปภายใน และ 2.รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเกณฑ์เบื้องต้นในการพิจารณาความเสียหายดังนี้
รถยนต์สันดาปภายใน (เบื้องต้นใช้ระดับน้ำเป็นตัวชี้วัด)
- น้ำท่วมถึงพื้นรถ ค่าซ่อมเบื้องต้น 8,000 – 10,000 บาท
- น้ำท่วมถึงเบาะรถ ค่าซ่อมเบื้องต้น 15,000 – 20,000 บาท
- น้ำท่วมถึงคอนโซลหน้าส่วนล่าง ค่าซ่อมเบื้องต้น 30,000 บาท
- น้ำท่วมสูงกว่าคอลโซลหน้า ค่าซ่อมเบื้องต้น 30,000 บาทขึ้นไป
- น้ำท่วมจมมิดทั้งคัน คืนทุนประกัน
รถยนต์ไฟฟ้า 100%
คำนวนจากราคาของแบตเตอรี่ ถ้ามีความเสียหายของแบตเตอรี่และมีราคาเพิ่ม 70% ของมูลค่ารถ จะพิจารณาคืนทุนประกันทั้งหมด
การเคลมประกันรถน้ำท่วม
- ตรวจสอบเงื่อนไขกรมธรรม์ มีความคุ้มครองอย่างไรบ้าง
- ตรวจสอบความเสียหาย ถ่ายรูปภายใน–ภายนอกรถเพื่อเป็นหลักฐาน
- เตรียมเอกสารสำคัญเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของบริษัทประกันภัย ประกอบด้วย เอกสารกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์, บัตรประจำตัวประชาชน และ ใบอนุญาตขับขี่
ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นถือเป็นการพิจารณาเบื้องต้นจากความเสียหายส่วนเแรกที่ประเมินด้วยสายตา แต่หากเมื่อนำไปพิจารณาจริงตามค่าซ่อมที่เกิดขึ้นหรือค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงก็จะต้องจ่ายตามจริง โดยประชนผู้ประสบภัยสามารถแจ้งเคลมไปที่บริษัทประกัน ซึ่งถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม คปภ. ยินดีให้ความช่วยเหลือ
ขณะที่ คปภ. ได้ทำงานเชิงรุกโดยได้มีการประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยประชาชนผู้ประสบภัยสามารถตรวจสอบข้อมูลการครอบครองประกันภัยในฐานข้อมูลกลาง หากกรณีที่เอกสารของประชาชนผู้ประสบภัยสูญหายหรือจมไปกับน้ำ รวมถึงประกันภัยชนิดอื่น ๆ ทั้งประกันชีวิต, ประกันวินาศภัย สามารถนำชื่อ–นามสกุล หรือเลขบัตรประชาชน ของประชาชนผู้เสียหายหรือเสียชีวิตมาตรวจสอบได้
ด้านกรณีที่ รถยนต์ที่ไม่มีประกันภัย ส่วนนี้อาจจะต้องขอแสดงความเป็นห่วง เนื่องจากอาจจะไม่สามารถเรียกร้องความช่วยเหลือจากหน่วยงานใดได้ เนื่องจากการทำ ประกันภัยรถยนต์ เป็นส่วนที่ประชาชนบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง ดังนั้นอาจจะต้องรอความช่วยเหลือจากภาครัฐในการเคลื่อนย้ายรถออกจากพื้นที่หรือเงินช่วยเหลือต่าง ๆ ซึ่งยังไม่มีข้อมูลว่าจะมีหรือไม่ในส่วนดังกล่าว
“คปภ. เชื่อว่าบริษัทประกันทุกบริษัทเห็นถึงสภาพความเดือดร้อนของประชาชนและต้องการจะช่วยเหลือ ซึ่งในฐานะผู้ควบคุมกฎเกณฑ์และกฎหมายข้อบังคับจะช่วยควบคุมดูแลให้เป็นไปตามความเหมาะสม”
อย่างไรก็ตาม คปภ. ได้ขอให้บริษัทประกันภัยเร่งจ่ายเงินภายใน 7 วัน กรณีที่เอกสารครบ จากปกติอยู่ที่ 15 วัน โดยสิ่งที่อาจจะทำให้ล่าช้าได้คือกรณีที่จะต้องประเมินความเสียหายและต้องซ่อม เนื่องจากปัจจุบันอู่หรือผู้ประเมินซ่อมอาจจะมีความลำบากในการนำรถยนต์ไปประเมินมูลค่าซ่อม ส่วนกรณีความเสียหายสิ้นเชิงคืนทุนประกันอาจจะสามารถดำเนินการได้เร็วกว่า
เอ็มจี ได้ให้คำแนะนำวิธีจัดการรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยหลังน้ำลด ดังนี้
- ห้ามสตาร์ทรถโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้น้ำเข้าสู่ระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์ได้
- ถอดขั้วแบตเตอรี่ 12V เพื่อตัดระบบไฟทั้งหมด ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร โดยถอดที่ขั้วลบ (สีดำ) ก่อน แล้วจึงค่อยถอดขั้วบวก (สีแดง)
- เตรียมเอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในการแจ้งเคลม เช่น กรมธรรม์ประกันภัย เล่มทะเบียนรถ หรือสำเนา สมุดคู่มือรถ
- ถ่ายรูปความเสียหายทั้งภายใน และภายนอกรถในจุดที่น้ำท่วม เพื่อใช้เป็นหลักฐานแจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัยต่อไป
- ติดต่อบริษัทประกันภัย พร้อมแจ้งระดับน้ำที่ท่วม และความเสียหายเบื้องต้น
- ระบายน้ำ และความชื้นออกจากรถให้ได้มากที่สุด โดยที่เก็บของด้านท้ายรถยนต์ เอ็มจี จะมีจุกยางระบายน้ำอยู่ที่พื้นใต้พรม หรือใช้ฟองน้ำซับน้ำออก พร้อมกับจอดรถกลางแดด และเปิดประตูทุกบาน
- หากพรมเปียกเพียงเล็กน้อยสามารถใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้ง แต่หากเปียกชุ่มแนะนำให้รื้อออกมาซักล้าง และตากแห้ง เพื่อไม่ให้เกิดเชื้อราและสนิมที่พื้นรถในระยะยาว






