นายเรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความต้องการเทคโนโลยีไฮบริด (HEV) ในรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทมองเห็นโอกาสนับตั้งแต่ปี 2567 ที่ได้เปิดตัวรถยนต์ Mitsubishi Xpander HEV รถยนต์ไฮบริดในกลุ่ม MPV ซึ่งผลิตในประเทศไทยเป็นรุ่นแรก และล่าสุดได้เปิดตัว Mitsubishi XForce HEV รถยนต์ไฮบริดในกลุ่ม SUV
ทั้งนี้ บริษัทได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในโครงการสนับสนุน รถยนต์ไฮบริด จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ตามเงื่อนไขการลงทุนอย่างครบถ้วน และมองว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญซึ่งได้มีการผลิต HEV ในปัจจุบัน 2 รุ่นแล้วด้วยกัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘บอร์ดอีวี’ เคาะมาตรการลดภาษีรถ HEV คาดหนุนการลงทุน 5 หมื่นล้าน
สำหรับ แผนระยะกลางยังคงมีการลงทุนและพัฒนารุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทพิจารณาการผลิตเทคโนโลยี HEV ในทุกรูปแบบ หรือเทคโนโลยีอะไรที่รัฐบาลมีการสนับสนุน รวมถึงในปี 2569 บริษัทมีแผนการเปิดตัว Mitsubishi Pajero Sport รุ่นใหม่ อีกด้วย
นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว Mitsubishi XForce HEV ถือเป็นการเปิดเซกเมนท์ใหม่ของบริษัทเข้าสู่ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก (B-SUV) ของบริษัทและแนะนำเทคโนโลยีไฮบริดในรถยนต์รุ่นดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะมียอดจองมากกว่า 3,000 คัน ภายใน 2 เดือนจากนี้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ราคาอย่างเป็นทางการ Mitsubishi XFORCE HEV : 899,000 – 1,089,000 บาท | 1.6 Full Hybrid ระบบ Diamond SENSE กล้อง 360 องศา
ขณะที่ แม้ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะชะลอตัว แต่รถยนต์ในกลุ่ม ไฮบริด และ รถยนต์ไฟฟ้า ยังมีการเติบโตอยู่ ดังนั้นจึงมองว่าเป็นโอกาสในการแนะนำรถยนต์รุ่นดังกล่าวลงสู่ตลาดในเวลานี้ ซึ่งมองว่า ไฮบริด จะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาดมีแนวโน้มเติบโตขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปี 2568 จะมีอัตราเติบโตขึ้น 2-5% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ที่ 5.7 แสนคัน ซึ่งมองว่าเป็นการเติบโตเล็กน้อย เพราะยังคงต้องจับตาเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว, หนี้ครัวเรือนสูง และ ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอน
“ปัจจัยที่สนับสนุนให้ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยเติบโตหรือไม่ มีอีกอย่างหนึ่งคือ การค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะสำหรับ SMEs ซึ่งต้องดูว่าจะสามารถผลักดันให้ตลาดรถกระบะในประเทศไทยเติบโตได้มากขนาดไหน รวมถึงโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ ที่รัฐบาลมีแนวคิดโดยต้องดูว่าจะเป็นไปได้แค่ไหน”
นายสาโรจน์ กล่าวว่า ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดไว้อยู่ที่ 6% ของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย หรือคิดเป็นประมาน 3.5-3.6 หมื่นคัน จากปีที่ผานมามีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 4.7%
นอกจากนั้น ในช่วงที่ผ่านมาที่มีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเข้ามาสู่ตลาดประเทศไทย แล้วมีการเปลี่ยนแปลงของผู้แทนจำหน่ายที่หันไปสนใจทำแบรนด์จีน แต่เครือข่ายผู้แทนจำหน่ายของบริษัทยังมีความครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 190 แห่ง
