มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA เผยรายได้รวมครึ่งปีแรกอยู่ที่ 8,810 ล้านบาท กำไร 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 167% พร้อมเตรียมเข้าร่วมงาน “BIG MOTOR SALE 2025“ หวังกระตุ้นยอดขาย
บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 6 เดือนแรก (มกราคม–มิถุนายน) ของปี 2568 ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 109 ล้านบาท เติบโต 167% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเติบโตจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของธุรกิจ Alpha X ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากกลุ่มรายได้ในธุรกิจ Wealth Lending กับลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง (Ultra-high Net Worth) ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนเป้าหมายที่วางไว้ และธุรกิจ Howden Maxi ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากลูกค้ารายใหญ่และรายใหม่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) แตะ 862 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 8,810 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง 68.2%, จากธุรกิจให้บริการหลังการขาย จำหน่ายอะไหล่ยานยนต์ และให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ 21.3%, ธุรกิจให้บริการเช่ารถยนต์และคนขับ 9.6%
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 54 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 430 ล้านบาท และมีรายได้รวม 4,745 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA เปิดเผยว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า แต่บริษัทฯ ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องตามนโยบายที่กำลังมุ่งสู่การสร้างโลกแห่ง Mobility ที่ครอบคลุมทั้งประสบการณ์ผู้ใช้เทคโนโลยีและความยั่งยืน ตามหลักกลยุทธ์ Lifestyle Mobility Ecosystem และจากกลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนถึงผลประกอบการในครึ่งปีแรกของบริษัทที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
ธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ : มีรายได้อยู่ที่ 6,005 ล้านบาท เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้า XPENG และ ZEEKR มีกระแสตอบรับที่ดีมาก ทำให้มียอดจองซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มทยอยส่งมอบรถตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนจากบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด ที่ให้บริการทั้งจัดจำหน่าย และธุรกิจเกี่ยวเนื่องในกลุ่มธุรกิจ EV
กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขายและให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ : มีรายได้ 1,876 ล้านบาท จากยอดใช้บริการที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร (One-Stop Service)) ตอกย้ำถึงศักยภาพการให้บริการด้านการจัดการ งานบริการซ่อมได้ครอบคลุม ตามมาตรฐานสากล ทำให้ธุรกิจในกลุ่มนี้สามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่า และพนักงานขับ : มีรายได้ 841 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก รถเช่าประเทศไทย (SIXT) ผู้ให้บริการรถเช่าระยะสั้น สำหรับบุคคลทั่วไป ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะชะลอตัว แต่ด้วยความต้องการของลูกค้าระดับพรีเมียม – ลักชัวรี ที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทเพิ่มจำนวนรถเช่ากว่า 20% รวมถึงเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้า ตามความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้น พร้อมขยายสาขาให้ครอบคลุมการให้บริการทั่วประเทศ โดยล่าสุดได้ขยายสาขาเพิ่ม ได้แก่ โชว์รูม ZEEKR สาขาวิภาวดี
กลุ่มธุรกิจอื่นๆ : มีรายได้อยู่ที่ 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.40% โดยมาจากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตตามแผนที่วางไว้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : MGC-ASIA เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดใน Neo Mobility Asia จาก อรุณ พลัสฯ
ดร.สัณหวุฒิ กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตในครึ่งปีหลังของปี 2568 หลังจากบริษัท เอ็มจีซี–เอเชีย กรีนเทค จำกัด (MGC-ASIA Greentech) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ MGC-ASIA ได้เข้าซื้อหุ้นใน บริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (Neo Mobility Asia) 100% โดยส่งผลให้หลังจากนี้ บริษัทสามารถรับรู้รายได้อย่างเต็มจำนวน พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตให้สอดคล้องกับพันธกิจของ MGC-ASIA เพื่อยกระดับกลยุทธ์ Lifestyle Mobility Ecosystem สู่การต่อยอดทางธุรกิจ Mobility ยุคใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติ ในการเป็นผู้นำด้าน ระบบนิเวศแห่งการเดินทางและการใช้ชีวิตแบบไร้รอยต่อ
และจากความสำเร็จที่มุ่งเน้นการปรับทิศทางกลยุทธ์ EV และ Mobility โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้กระแสตอบรับอย่างมากตามเทรนด์รถ EV ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันที่พร้อมจะเติบโต อย่างมีนัยสำคัญจากดีมานด์คนใช้รถยนต์ EV เพิ่มขึ้น โดยจะเห็นได้จากการตอบรับจาก BMW ‘The i7’ ซึ่งมียอดจองเข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่ XPENG X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ ได้ขึ้นแท่นเป็นอันดับ1 รถตู้ไฟฟ้าพรีเมียม โดยมียอดส่งมอบสะสมในปัจจุบันกว่า 1,500 คันทั่วประเทศ
พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมจัดทัพใหญ่ร่วมงาน BIG MOTOR SALE 2025 เพื่อกระตุ้นยอดขายส่งท้ายปี ซึ่งคาดว่าจะได้รับออเดอร์ใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มยอด Backlog ที่รอส่งมอบ ณ ปัจจุบัน (14 ส.ค. 2568) อยู่ที่ 569 คัน แบ่งเป็น BMW จำนวน 138 คัน, XPENG จำนวน 117 คัน , HONDA จำนวน 107 คัน, ZEEKR จำนวน 71 คัน, BMW Motorrad จำนวน 50 คัน, MINI จำนวน 43 คัน , Harley-Davidson จำนวน 35 คัน , Rolls-Royce จำนวน 7 คัน และ Chris-Craft จำนวน 1 ลำ