นายมาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Mercedes-Benz) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามต่อสัญญาว่างจ้าง บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด ให้เป็นผู้ประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย ต่อไปเป็นระยะเวลาอีก 10 ปี เพื่อผลิตและประกอบรถยนต์และผลิตแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความร่วมมือของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย และ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2522 ทำให้ในปัจจุบันมีรถยนต์กว่า 13 รุ่น ที่ถูกผลิตขึ้นในโรงงานแห่งนี้ ได้แก่ A-Class, C-Class, E-Class, S-Class, GLA, GLC, GLE, GLS, C-Coupe, GLC-Coupe, CLS, Maybach S-Class, และ EQS โดยมีการเฉลิมฉลองการประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ คันที่ 200,000 ไปเมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา
“ย้อนกลับไปเมื่อ 120 ปีที่แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรถยนต์แบรนด์แรกที่เข้ามาในประเทศไทย และเช่นเดียวกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ในวันนี้เราก็ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยการเป็นแบรนด์รถยนต์ลักชัวรี่แบรนด์แรกที่เริ่มผลิตแบตเตอรี่และประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในรุ่น EQS 500 4MATIC AMG Premium ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจของเรา”
นายรัฐพล วิริยะพันธุ์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด และ บริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า บริษัทพร้อมนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากเมอร์เซเดส-เบนซ์มาปรับใช้ในการผลิตรถยนต์ในประเทศเพื่อขยายไลน์การประกอบรถยนต์ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทางบริษัทยังรองรับการผลิตแบตเตอรี่และการประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผ่านโรงงานของบริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TESM) ที่มีการริเริ่มผลิตแบตเตอรี่และประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกอย่าง EQS 500 4MATIC AMG Premium
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ส่วนลด 760,000 ! ราคาพิเศษ Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium : 3,880,000 บาท (ประกอบไทย)
นอกจากนี้ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพโรงงานและศักยภาพของบุคลากรให้ลูกค้าทุกคนมั่นใจในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสร้างตำนานบทใหม่ให้กับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากวิสัยทัศน์และนโยบายของแบรนด์ Mercedes-Benz ในระดับโลก ที่ขับเคลื่อนแผนงานด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังในทุกมิติ หนึ่งในนั้นคือการผลักดันระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้แนวคิด “Design for Circularity” ที่เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตในการเพิ่มสัดส่วนของการใช้วัสดุทดแทนที่มาจากกระบวนการรีไซเคิลชิ้นส่วนรถยนต์
ในขณะเดียวกัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ก็ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการนำแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ใช้สำหรับการทดสอบแบตเตอรี่ในกระบวนการผลิต มาพัฒนาเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้เชื่อมต่อกับสายส่งไฟฟ้า โดยริเริ่มด้วยการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MoU) กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Cellblocks) ขนาด 2 เมกะวัตต์ ให้กับ สวทช. ภายในเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคมไทย ทั้งยังยกระดับความสามารถของบุคลากรไทย และสนับสนุนการทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศให้มีมาตรฐานระดับโลก