ในโอกาสที่ “สเตฟาน วิงเคิลมันน์” (Stephan Winkelmann) ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) เดินทางมายังประเทศไทย (อีกครั้ง) เพื่อมาร่วมงานเปิดตัว รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์พลังงานปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์อย่าง ลัมโบร์กินี เทเมราริโอ (Lamborghini Temerario) ซึ่งเป็นครั้งในประเทศไทย และ เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) พร้อมการให้สัมภาษณ์กลุ่มพิเศษกับสื่อมวลชน
สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ได้กล่าวถึง ผลประกอบการทั่วโลกไตรมาสแรกของปี 2568 ซึ่งมีผลงานที่ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสามารถส่งมอบรถยนต์ทั่วโลกได้กว่า 2,967 คัน แบ่งเป็น กลุ่มประเทศ Europe, the Middle East, and Africa หรือ (EMEA) อยู่ที่ 1,368 คัน และ Americas อยู่ที่ 1,034 คัน รวมถึง Asia Pacific อยู่ที่ 565 คัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : Lamborghini Temerario ราคาอย่างเป็นทางการ เริ่มต้น 23,760,000 บาท | PHEV V8 Bi-Turbo + 3 Motors 920 แรงม้า
ขณะเดียวกัน ยอดขายสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 3 อันดับคือ 1.ญี่ปุ่น, 2.เกาหลี และ 3.จีน ส่วนประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 7 ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในด้านผลการตอบรับของผู้บริโภค แม้ว่าจะเป็นประเทศที่มียอดขายที่จัดอยู่ในกลุ่มประเทศขนาดเล็ก แต่สามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า High Network
ข้อมูลลูกค้าที่น่าสนใจในยุคปัจจุบันในภูมิภาคอาเซียน
- ประเทศที่มีลูกค้าอายุน้อยที่สุดคือ ประเทศจีน
- ประเทศที่มีลูกค้าที่มีสไตล์การเลือกออปชั่นตกแต่งเฉพาะตัวมากที่สุดคือ ประเทศญี่ปุ่น
- ประเทศที่มีลูกค้าเพศหญิงเยอะที่สุดคือ ประเทศไทย
สำหรับ ลูกค้าเพศหญิงในประเทศไทยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 41 ปี ซึ่งต่ำกว่าอายุเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 44 ปี และมีสัดส่วนการตัดสินใจซื้อเป็น URUS อยู่ที่ 23% และ Revuelto อยู่ที่ 18%
นอกจากนั้น ในหลายประเทศหรือแม้กระทั่งทั่วโลกเอง การตัดสินใจซื้อรถยนต์ในกลุ่มนี้ ‘อารมณ์’ จะอยู่เหนือ ‘เหตุผลเสมอ’ และส่วนหนึ่งอารมณ์ในการตัดสินใจซื้อลูกค้าส่วนใหญ่จะเอาไปอารมณ์ไปผูกไว้กับ ตลาดหุ้น หรือ ตลาดทุน ซึ่งแน่นอนว่าในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเช่นนี้ กำลังซื้อไม่ได้หายไปจากลูกค้ากลุ่มดังกล่าวแต่ที่หายไปคืออารมณ์และบรรยากาศในการซื้อ (Mood)
ปัจจัยที่ท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกซึ่งทุกคนต้องเผชิญไม่เว้นแม้กระทั่ง ลัมโบร์กินี เอง นั่นคือความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทุกด้านทั่วโลก ทั้งเศรษฐกิจ และ การเมือง ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสถานการณ์ที่ทั่วโลกต้องเผชิญทั้ง การขาดแคลนชิป, สงคราม ซึ่งโลกนี้มีความไม่แน่นอนเป็นความแน่นอนที่ต้องเผชิญ ซึ่งตัวแบรนด์ของเราเองได้มีการบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง โดยบริษัทมีซัพพลายน้อยกว่าดีมานด์อยู่เสมอ ซึ่งเราสามารถบริหารจัดการได้ดีมาโดยตลอด ซึ่งหากเกิดปัญหาด้านการผลิตหรือการจำหน่ายในส่วนใดก็สามารถปรับเปลี่ยนโยกย้ายได้ตลอดเวลา
ปัจจุบันระยะเวลาการรอรถเฉลี่ยของลูกค้า Lamborghini อยู่ที่ 18 เดือน ซึ่งมองว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการรอรถยนต์ที่มีมาตรฐานคุณภาพการผลิตพิเศษ (เอ็กซ์คลูซีฟ)
ด้านประเด็นที่กำลังตกเป็นสิ่งที่ทั่วโลกสนใจคือ นโยบายภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขิงประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ลัมโบร์กินี มีสัดส่วนยอดขายทั่วโลกอยู่ในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ราว 30% แน่นอนว่าต้องมีผลกระทบอย่างแน่นอน แต่บริษัทจะมีการประกาศถึงจุดยืนความชัดเจนอีกครั้งในช่วงเดือน กรกฎาคม นี้
สเตฟาน วิงเคิลมันน์ กล่าวย้ำว่า บริษัทไม่มีแผนการก่อตั้งโรงงานนอกประเทศอิตาลีอย่างแน่นอน เนื่องจากสิ่งที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อคือ ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ และ คุณภาพมาตรการการผลิตของแบรนด์ดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพนักงานในโรงงานอยู่ที่ 3,000 คน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : Lamborghini เผยไตรมาสแรก ยอดส่งมอบ 2,967 คัน รายได้โต 29%
ขณะที่ แผนการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (อีวี) รุ่นแรกของแบรนด์ ที่เลื่อนออกไป 1 ปี จากแผนเดิมที่อยู่ราว ๆ ปี 2570 เนื่องจากประเด็นการยอมรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของรถในเซกเมนท์นี้ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะต้องดีเพียงพอสำหรับการเป็นรถยนต์ซูเปอร์คาร์ รวมถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกอีกด้วย
“เร็ว ๆ นี้ บริษัทมีแผนการเปิดตัว Lamborghini URUS ใหม่ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดเช่นเดิม”
ด้านแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ ลัมโบร์กินี หลังจากนี้ ยืนยันว่าทุกรุ่นจะมีส่วนผสมของเทคโลยีพลังงานไฟฟ้ารวมเข้ากับเครื่องยนต์ และแน่นอนว่าจะต้องเอามาตรฐานของรถยนต์ในปัจจุบันเป็นที่ตั้ง ซึ่งการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แน่นอนว่าจะต้องดีกว่ารุ่นก่อนอย่างแน่นอน
ส่วน โฟล์คสวาเก้น กรุ๊ป (Volkswagen Group) ในด้านการบริหารจัดการแบรนด์ในเครือ มีการบริหารจัดการเป็นอย่างดี และมีส่วนร่วมในการร่วมมือกันในกลุ่มบริษัทอาทิ การพัฒนาร่วมกันรวมถึงการใช้ชิ้นส่วนในการผลิตร่วมกัน แต่ยังคงสามารถรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งยืนยันว่าลูกค้าต้องสัมผัสได้ถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์
ปิดท้ายที่ เทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยีของแบรนด์อยู่ภายใต้พื้นฐาน 3 อย่าง ได้แก่ ดิจิทัล, พลังงานไฟฟ้า และ ระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติ รวมถึงการส่งมอบดีเอ็นเอความเป็นแบรนด์ลัมโบร์กินีที่ผู้คนคาดหวังทั้ง อัตราเร่ง และประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังต้องสามารถเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการลเการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย ดังนั้งการโฟกัสเรื่องการจัดการน้ำหนักและการใช้วัสดุน้ำหนักเบา รวมถึงการคำนวนน้ำหนักของตัวรถต่อกำลังจึงเป็นเรื่องสำคัญ