ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยปี 2568 ต้อนเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่เป็นรอบที่ 5 ที่ปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยอาจลดลงเหลือไม่ถึง 1.45 ล้านคัน จึงเป็นที่มาจองแนวคิดโครงการ “รถเก่าแลกรถใหม่” ถูกหยิบยกมาเป็นทางเลือกเพื่อฟื้นยอดขายและการผลิตรถยนต์อีกครั้ง
ย้อนกลับไปในอีดตที่ผ่านมา อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยเผชิญวิกฤตใหญ่ที่กระทบการผลิตรถยนต์ในประเทศ 4 ครั้งและแต่ละครั้งก็ได้ภาครัฐกับเอกชนเข้ามาช่วยกันกอบกู้วิกฤต ดังนี้
- วิกฤตการเงินในเอเชีย ในปี 2542 โดยในครั้งนั้นได้มีการสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนตัวที่ 1 คือ ปิกอัพ
- วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ ในปี 2552 โดยในครั้งนั้นได้มีการสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนตัวที่ 2 คือ อีโคคาร์
- วิกฤตมหาอุทกภัย ในปี 2553 โดยในครั้งนั้นได้มีการเกิดนโยบายรถคันแรก
- วิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 โดยในครั้งนั้นได้มีการเร่งออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย
ล่าสุด สำหรับวิกฤตรอบที่ 5 จากปัญหาหนี้เสียสูงประกอบกับการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) จากผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน จึงทำให้ตัวเลขการผลิตรถยนต์หดตัวลงราว 22% จากค่าเฉลี่ยหลังโควิดปี 2565 – 2566 ที่ 1.86 ล้านคัน
ทั้งนี้ Case Study “รถเก่าแลกรถใหม่” ในต่างประเทศ ช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ได้ แต่การผลิตกลับได้ไม่เต็มที่ เพราะมีการนำเข้ารถมาขายแทน โดยในปี 2551 ปัญหาจากวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในหลายประเทศ จนหลายรัฐบาลต้องประกาศใช้โครงการดังกล่าวเพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์ให้ขับดันการผลิตรถยนต์ในประเทศอย่างเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
สำหรับโครงการดังกล่าวทำกันในหลายประเทศทั่วโลก เริ่มในช่วงปี 2551 – 2552 ด้วยแนวทางส่วนใหญ่ คือ ให้นำรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี มาเปลี่ยนเป็นรถยนต์ใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แล้วจะได้รับเงินส่วนลดซึ่งแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละประเทศ โดยเฉลี่ยประมาณ 100,000 บาท ซึ่งผลของโครงการพบว่าสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในช่วงที่ทำโครงการได้จริง
อย่างไรก็ดี ช่วงทำโครงการแม้ยอดขายรถยนต์จะเพิ่มขึ้น แต่การผลิตรถยนต์ในบางประเทศกลับเพิ่มขึ้นไม่สอดคล้องกัน เช่น สหรัฐอเมริกา และเยอรมนีฃ เนื่องจากยอดขายรถยนต์ที่ปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้ารถยนต์ ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเงื่อนไขจำกัดการนำเข้าในช่วงแรกของโครงการ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : “มาตรการรถเก่าแลกรถใหม่” กระตุ้นตลาดในไทย เป็นไปได้หรือไม่ ?
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า หากมีการทำโครงการ “รถเก่าแลกรถใหม่” ในไทย ย่อมทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศช่วงทำโครงการเพิ่มขึ้น แต่จะเป็นจำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับปริมาณเงินส่วนลดที่จะได้รับ และระยะเวลาทำโครงการ ซึ่งในกรณีรถยนต์เข้าโครงการต้องถูกนำไปกำจัดซาก (มักเป็นรถที่มีอายุมากกว่า 20 ปี) คาดว่ารถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการ “รถเก่าแลกรถใหม่” อาจต่ำกว่า 400,000 คัน เทียบโดยใช้ระยะเวลาทำโครงการและจำนวนเงินที่ได้รับเท่ากับโครงการ “รถยนต์คันแรก” ที่มีรถยนต์เข้าโครงการทั้งสิ้น 1,234,986 คัน ทั้งนี้เพราะปัจจัยหนุน ณ ขณะที่โครงการทั้ง 2 ต่างกันดังนี้
- ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อปัจจุบันมีแนวโน้มสูงกว่า จากปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียที่สูงกว่าช่วงทำโครงการ “รถยนต์คันแรก” ขณะที่กลุ่มผู้ถือครองรถยนต์เก่าเองส่วนหนึ่งอาจเป็นกลุ่มผู้ที่ไม่มีกำลังซื้อสูงจึงมีความเสี่ยงถูกปฏิเสธสินเชื่อได้ง่าย
- การมองเรื่องความคุ้มค่าของเงินส่วนลดที่จะได้หากนำรถเก่าไปแลก เทียบกับราคาขายรถเก่าในตลาดมือสอง ซึ่งปกติราคาขายต่อมือสองรถปิกอัพจะตกช้ากว่ารถยนต์นั่ง และในโครงการ “รถยนต์คันแรก” ไม่มีมิตินี้ที่ผู้ซื้อจะต้องพิจารณา
- จำนวนผู้มีโอกาสเข้าโครงการต่ำกว่า โดยปัจจุบันไทยมีจำนวนรถยนต์ที่อายุมากกว่า 20 ปี ประมาณ 3.7 ล้านคัน (ตารางที่ 2) ขณะที่จำนวนประชากรที่สามารถเข้าร่วมโครงการ “รถยนต์คันแรก” ได้ มีไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน
ขณะที่ แม้โครงการ “รถเก่าแลกรถใหม่” คาดช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศได้โดยระดับผลได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆแต่ผลได้ไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศหรือต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ยังมีอีกหลายประเด็นต้องพิจารณาเช่น
- ข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติของรถยนต์เก่าและรถยนต์ใหม่ที่จะเข้าโครงการได้ เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เช่น รถยนต์ใหม่ที่จะซื้อได้ควรเป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ไม่ใช่รถยนต์นำเข้า ดังตัวอย่างในต่างประเทศที่ทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นได้ไม่เต็มที่ในช่วงทำโครงการ นอกจากนี้ รถยนต์เก่าที่นำมาแลก อาจมีข้อกำหนดเรื่องระยะเวลาการถือครองรถก่อนนำมาแลกด้วย เพื่อลดโอกาสทุจริตในโครงการ
- การพิจารณาเรื่อง “ภาษีรถยนต์ประจำปี” ที่สอดคล้องกับการอายุการใช้งานและการปล่อยมลพิษ อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยผลักดันโครงการให้ประสบผลสำเร็จมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันอัตราภาษีรถยนต์พบว่าถูกลงทุกปีนับจากปีที่ 6 จนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปีที่ 10
- หากโครงการเป็นในรูปแบบสมัครใจกระแสต่อต้านจากผู้บริโภคย่อมน้อยกว่าการออกกฏหมายบังคับ เช่น การบังคับใช้กฏหมายกำหนดอายุรถยนต์ที่สามารถนำมาต่อทะเบียนเพื่อใช้ได้ เป็นต้น
- การที่ผู้บริโภคแบ่งส่วนรายได้มาจ่ายกับรถยนต์คันใหม่อาจส่งผลให้การใช้จ่ายในสินค้าและบริการอื่นลดลงซึ่งประเด็นนี้อาจต้องนำมาพิจารณาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างปัจจุบัน
- รถยนต์เก่าที่นำมาแลก หากเกิดกรณีให้นำเข้าสู่ตลาดมือสองได้ มีโอกาสไปกดดันราคารถมือสองให้ต่ำลง จากอุปทานที่เพิ่มสูง ตรงข้ามหากต้องนำเข้าสู่กระบวนการกำจัดซากเท่านั้นก็อาจทำให้ราคารถมือสองขยับขึ้น เพราะอุปทานในตลาดลด หากอุปสงค์รถยนต์มือสองยังเท่าเดิม