slide 1
slide 1
Image Slide 2
Image Slide 2
previous arrowprevious arrow
next arrownext arrow
Homeสกู๊ปพิเศษรายงานพิเศษFord แนะพยุงยอดขายรถกระบะ ช่วยกู้ภาพรวมตลาดรถยนต์ของไทย

Ford แนะพยุงยอดขายรถกระบะ ช่วยกู้ภาพรวมตลาดรถยนต์ของไทย

นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย (Ford) เปิดเผยภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2024 (Motor Expo 2024) ว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปี 2567 คาดว่าจะปิดตัวเลขที่ 5.67 แสนคัน ลดลงราว 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในช่วง 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) ตลาดปิดตัวเลขไปได้ราว 4.7 แสนคัน ซึ่งปัจจุบันหลักมาจากตลาดรถกระบะที่หดตัวลงอย่างรุนแรง

สำหรับ ยอดจำหน่ายของ Ford 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 17,447 คัน และทั้งปีนี้คาดว่าจะปิดตัวเลขยอดจำหน่ายได้ 2.1 หมื่นคัน ซึ่งลดลงมากกว่าตลาดแน่นอน ด้วยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัททั้ง รถกระบะ และ พีพีวี อยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง

ทั้งนี้ สาเหตุหลักมาภาวะเศรษฐกิจ และการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน (ไฟแนนซ์) ที่มีความเข้มงวดสูงส่งผลให้หนี้ครัวเรือนจาก 96% ลดลงเหลือราว 80% ซึ่งจะเริ่มส่งผลดีต่อการอนุมัติสินเชื่อหลังจากนี้ ส่วนการจัดงาน Motor Expo 2024 เชื่อว่าจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์เดือนธันวาคมให้อยู่ในระดับ 5.8-5.9 หมื่นคันได้ จากเดือนตุลาคม อยู่ที่ 3.7 หมื่นคัน

ขณะที่ แนวคิดในการออกมาตรการ “รถเก่าแลกรถใหม่” มองว่าจะเป็นส่วนกระตุ้นตลาดได้แต่ต้องดูในรายละเอียดว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนด้านนโยบายการพักชำระหนี้สำหรับรถยนต์ที่ไม่เกิน 8 แสนบาท ก็คงจะทำให้หนี้เสียลดลงและส่งผลดีต่อการอนุมัติสินเชื่อในอนาคต ซึ่งถ้าหากมาตรการดังกล่าวเริ่มในช่วงต้นปี 2568 ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ก็จะเริ่มคลี่คลาย

ปัญหาของรถกระบะในเวลานี้เกิดจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งหากรัฐบาลต้องการกระตุ้นหรือแก้ไขปัญหาในกลุ่มรถกระบะ การซื้อรถยนต์แล้วนำไปลดภาษีนิติบุคคล โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการใช้รถยนต์เพื่อประกอบธุรกิจจริง ๆ อย่าง ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

“ปกติตลาดรถกระบะมียอดจำหน่ายเฉลี่ยราว 2.5 หมื่นคัน/เดือน แต่ในปีนี้โดยเฉพาะในเดือน ตุลาคม 2567 ตลาดรถกระบะมียอดจำหน่ายอยู่ที่ราว 1 หมื่นคัน ดังนั้นมองว่าถ้าต้องการพยุงตลาดรถยนต์ในภาพรวมการช่วยรถกระบะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันให้ผู้ที่ต้องการออกรถเพื่อทำธุรกิจออกรถได้เพื่อให้ยอดขายและเศรษฐกิจกลับมา”

Ford

ส่วนในปี 2568 Ford มองว่ายอดตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะอยู่ที่ 6 แสนคัน จากปัจจัยหนี้เสียและหนี้ครัวเรือนจะเริ่มลดลง ทำให้สถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อได้ดีขึ้น รวมถึง อัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตามที่สถาบันการเงินหลายแห่งคาดการร์จะมีอัตราเติบโตในระดับ 5%

ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อให้ผู้ที่มีความต้องการใช้รถเพื่อประกอบธุรกิจจริง ๆ สามารถออกรถได้และไม่เป็นหนี้เกินความจำเป็นเพื่อให้ตลาดนั้นเดินต่อไป

นายรัฐการ กล่าวว่า เครือข่ายผู้แทนจำหน่ายในปัจจุบันของ ฟอร์ด มีจำนวนอยู่ที่ 148 แห่ง จากที่ผ่านมาอยู่ที่ 169 แห่ง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ศูนย์จำหน่ายและบริการของบริษัท ลดลงเหลือ 28 แห่ง จาก ที่ผ่านมาอยู่ที่ 48 แห่ง แต่การลดลงนั้น ยังคงอยู่ในประมาณที่เหมาะสมกับยอดขายในอนาคต เนื่องจากโมเดลธุรกิจการขายนั้นเปลี่ยนไป โดย ฟอร์ด ได้คำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้บริโภคและความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์)

แม้ว่าจำนวนศูนย์จำหน่ายและบริการจะลดลงแต่ ฟอร์ด ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า ถ้าลูกค้าต้องนำรถยนต์เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการจะใช้ระยะเวลาเดินทางไม่เกิน 30 นาที รวมถึงยังมี รถบริการเคลื่อนที่ (โมบายล์เซอร์วิส) จำนวน 112 คันทั่วประเทศ พร้อมช่างผู้เชี่ยวชาญ จึงมั่นใจในการให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคอยู่

ด้านการตลาดปัจจุบันก็เปลี่ยนไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่จากผลศึกษาพบว่า ลูกค้าพิจารณาจากงบประมาณเป็นหลักมากกว่าประเภทรถที่ลูกค้าต้องการ อาทิ ลูกค้าตั้งงบประมาณไว้ 1.2 ล้านบาท แล้วดูว่ามีรถคันไหนบ้างที่อยู่ในงบประมาณนี้แล้วคุ้มค่าที่สุด ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของ ฟอร์ด ที่จะขยายกลุ่มลูกค้าและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่าสู่ผู้บริโภค และนอกจากนั้นการค้นหาของลูกค้ายังค้าหาไปทุกแบรนด์ภายใต้งบประมาณที่กำหนด ซึ่งเรามองโอกาสในการทำการตลาดกับลูกค้าใหม่ ๆ และ รักษาฐานลูกค้าปัจจุบันไปพร้อม ๆ กัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะมียอดจำหน่ายต่ำสุดในรอบ 15 ปี แต่ฟอร์ดมองการดำเนินธุรกิจในระยะยาวโดยเฉพาะการที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกไปยังทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนระหว่างการจำหน่ายในประเทศกับการส่งออกอยู่ที่ 15% ต่อ 85% ตามลำดับ ดังนั้นยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมากในการดำเนินธุรกิจ

ขณะเดียวกัน การที่มีรถกระบะพลังงานทางเลือกเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น Ford ยอมรับว่าเราได้ติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเทคโนโลยีรถกระบะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบ แต่ยังมองว่าผู้ที่ต้องการซื้อรถกระบะไฟฟ้ายังเป็นกลุ่ม Early Adpoter และเจาะจงไปยังกลุ่มรถกระบะ Life Style ที่มีราคาสูง แต่พฤติกรรมการใช้งานจริงของผู้บริโกภคกลุ่มรถกระบะส่วนใหญ่ ยังให้น้ำหนักกับความสำคัญของ ระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้ง, ปริมาณน้ำหนักบรรทุก และ ความสะดวกสบายในการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน ถ้าใครที่สามารถตอบโจทย์สิ่งเหล่านั้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาเชื่อว่าลูกค้าจะตอบรับในกลุ่มรถกระบะไฟฟ้า

ฟอร์ด ได้ทำการศึกษาเรื่อง เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ซึ่งในปีนี้-ปีหน้ายังไม่มี แต่ในต่างประเทศเรามีทั้งเทคโนโลยีไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด แต่ในประเทศไทยการนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ายังมีข้อจำกัดด้านภาษี ซึ่งทำให้การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์และราคาที่เหมาะสมยังเป็นที่ต้องพิจารณา

- Advertisement -spot_img
Mitsubishi Mega Deal
Mitsubishi Mega Deal
ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน
ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน
previous arrow
next arrow
- Advertisement -spot_img
- Advertisement -spot_img

Stay Connected

400,000FansLike
6,955FollowersFollow
153,000FollowersFollow
319FollowersFollow
107,000SubscribersSubscribe

Must Read

Related News