บอร์ดอีวี รับทราบรายงาน ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 โต 52% หรืออยู่ที่ 57,289 คัน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 15% ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมด นับเป็นตัวเลขสูงที่สุดในอาเซียน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมบอร์ดอีวี ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้รับทราบรายงานผลการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง BEV ใหม่ 57,289 คัน เพิ่มขึ้น 52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนกว่า 15% ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมด นับเป็นตัวเลขสูงที่สุดในอาเซียน โดยปัจจุบันมียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง BEV สะสมในไทยกว่า 203,000 คัน และยังมียานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ เช่น จักรยานยนต์ไฟฟ้า 71,900 คัน, รถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้า 3,800 คัน และรถสามล้อไฟฟ้า 1,000 คัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ยอดจดทะเบียนรถไฟฟ้า100% ในไทย ครึ่งปีแรก 2025 (6 เดือน : มกราคม – มิถุนายน) รวม 58,590 คัน
ขณะที่ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3 จำนวน 27 บริษัท ประกอบด้วย ผู้ผลิตรถยนต์นั่งและ รถกระบะไฟฟ้า 16 บริษัท และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 11 บริษัท และผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 จำนวน 10 บริษัท เป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้าทั้งสิ้น โดยปัจจุบันมี ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นที่เข้าข่ายได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 รวม 209,623 คัน แบ่งเป็นประเภทรถยนต์ 175,064 คัน และรถจักรยานยนต์ 34,559 คัน
สำหรับ ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนสำคัญ สถานีชาร์จไฟฟ้า และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ มีเงินลงทุนรวม 137,698 ล้านบาท ประกอบด้วย
- กิจการผลิตรถยนต์ BEV 21 โครงการ เงินลงทุนรวม 41,077 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 386,000 คันต่อปี
- กิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 16 โครงการ เงินลงทุนรวม 990 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 810,000 คันต่อปี
- กิจการผลิตรถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้า 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 2,206 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 4,800 คันต่อปี
- กิจการผลิตแบตเตอรี่ 53 โครงการ เงินลงทุนรวม 80,063 ล้านบาท
- กิจการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ เช่น Traction Motor, BMS, DCU, On-board Charger จำนวน 42 โครงการ เงินลงทุนรวม 6,521 ล้านบาท
- กิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้า 29 โครงการ เงินลงทุนรวม 5,562 ล้านบาท จะติดตั้งหัวจ่ายไฟฟ้าจำนวน 20,080 หัวจ่าย โดยเป็นหัวจ่ายแบบ Quick Charge จำนวน 7,360 หัวจ่าย
- กิจการสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ 5 โครงการ เงินลงทุนรวม 1,279 ล้านบาท แบ่งเป็นสถานีสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ 555 สถานี สถานีสำหรับรถเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ 7 สถานี และสถานีสำหรับรถยนต์นั่ง 6 สถานี
นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ข้อมูลล่าสุดในเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,720 สถานี จำนวน 11,622 หัวจ่าย แบ่งเป็น DC Charger (Fast Charge) จำนวน 6,524 หัวจ่าย และ AC Charger จำนวน 5,098 หัวจ่าย โดยมีการกระจายครอบคลุมในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ