slide 1
slide 1
Image Slide 2
Image Slide 2
previous arrowprevious arrow
next arrownext arrow
Homeสกู๊ปพิเศษรายงานพิเศษค่ายรถชี้ปรับภาษี PHEV กระตุ้นเปิดตัวรถรุ่นใหม่-หนุนผลิตส่งออกในไทย

ค่ายรถชี้ปรับภาษี PHEV กระตุ้นเปิดตัวรถรุ่นใหม่-หนุนผลิตส่งออกในไทย

ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่…) .. …  ตามที่ กรมสรรพสามิต เสนอ เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขภาษีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด หรือ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ให้มีอัตราภาษีที่แตกต่างจากรถยนต์ Hybrid Electric Vehicle (HEV)
  2. กำหนดเงื่อนไขการคำนวณอัตราภาษีสรรพสามิตเฉพาะระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง (การชาร์จ) เท่านั้น
  3. ยกเลิกขนาดถังน้ำมัน (Fuel Tank) ให้ไม่เป็นเงื่อนไขการกำหนดอัตราภาษีปลั๊กอินไฮบริด อีกต่อไป เนื่องจากเป็นการลดศักยภาพของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการผลิต เพราะต้องผลิตถังน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังเป็นการสร้างข้อจำกัดโดยไม่จำเป็น สร้างภาระแก่ประชาชน และทำให้ปลั๊กอินไฮบริด ไม่ได้รับความนิยม

อัตราภาษีสรรพสามิตตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 มีผลดังนี้

  • รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท ปลั๊กอินไฮบริด ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ที่มีระยะวิ่งด้วยระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ไม่ต่ำกว่า 80 กิโลเมตร ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง (การชาร์จ) ให้มีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ 5%
  • รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท ปลั๊กอินไฮบริด ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ที่มีระยะวิ่งด้วยระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ต่ำกว่า 80 กิโลเมตร ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง (การชาร์จ) ให้มีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ 10%

PHEV

การกำหนดพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวสอดคล้องกับหลักสากล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและต่อยอดให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่มีมาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากสันดาปภายในไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต อีกทั้งยังช่วยตอบสนองต่อความต้องการใช้รถยนต์ PHEV ที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าในเขตตัวเมือง และใช้พลังงานผสมในการเดินทางระหว่างเมือง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : สรรพสามิต รื้อภาษีรถ PHEV วิ่งไฟฟ้า 80 km. เป็นเกณฑ์ใหม่ ตัดขนาดถังน้ำมัน ดันไทยฐานผลิต

Autolifethailand ได้สอบถามไปยังบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายต่าง ๆ ถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อสะท้อนมุมมองในภาคเอกชนในฐานะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทย ดังนี้

นาย เวย์น โจว (Wayne Zhou) กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย หรือ GWM (Thailand) กล่าวว่า จากการปรับเงื่อนไขการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีสรรพสามิตของ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด โดยตัดขนาดถังน้ำมันและให้คิดจากระยะทางการวิ่งด้วยไฟฟ้าเป็นหลักนั้น ทาง GWM (Thailand) เห็นด้วยและถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งหลักการนี้ถือว่าเป็นไปตามหลักสากล เนื่องจากถ้ามีการบังคับใช้ขนาดถังน้ำมันที่เล็กกว่าปกติ ทำให้ต้องทำถังน้ำมันสำหรับตลาดประเทศไทยโดยเฉพาะ แต่รถยนต์รุ่นดังกล่าวจะต้องขายทั่วโลก ซึ่งจะต้องทำการทดสอบการชนเพื่อความปลอดภัยใหม่ สร้างภาระและต้นทุนที่ไม่จำเป็นให้เกิดขึ้น

สำหรับ ในภาพรวมมองว่ามาตรการดังกล่าวจะเกิดผลดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งมาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยกระตุ้นการนำเสนอ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด รุ่นใหม่ ๆ เข้ามาในตลาด ทำให้คนไทยหันมาให้ความสนใจและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ยังไม่พร้อมกับการใช้ รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ให้มีทางเลือกของเทคโนโลยีที่สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าและน้ำมันได้ในขณะเดียวกันถือเป็นการส่งเสริมการเดินทางด้วยพลังงานสะอาดให้มากขึ้น

ขณะที่ GWM มีเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่ทันสมัย ในรถยนต์ All New GWM HAVAL H6 PHEV รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีแบตเตอรี่ขนาด 27.54 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มีระยะทางการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้กว่า 150 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และมีระยะทางการขับขี่รวมสูงถึง 1,200 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าไกลที่สุดในเซกเมนต์รถ SUV-C ซึ่งการที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีระยะทางการวิ่งด้วยไฟฟ้าที่ไกล จะทำให้ผู้ใช้ไร้กังวลเกี่ยวกับการชาร์จไฟและสามารถขับขี่ทางไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : GWM หนีสงครามราคารถอีวี ปรับกลยุทธ์ลุยดีเซล มุ่งเพิ่มส่งออกจากไทย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : GWM WEY 80 เปิดตัวในไทย ปลายปี 2025 นี้ ! Premium MPV Plug-in Hybrid 458 แรงม้า วิ่งไฟฟ้า 201 km.

PHEV

นายกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ขานรับตามแนวทางโดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) โดยตัดข้อกำหนดเรื่องขนาดถังน้ำมัน แต่เน้นที่ระยะทางการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าขั้นต่ำ 80 กม. ขึ้นไป ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มีผลดีดังนี้

  1. ส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักซึ่งการตัดข้อกำหนดเรื่องขนาดถังน้ำมันช่วยให้โฟกัสไปที่พฤติกรรมการใช้งานจริงคือการชาร์จไฟและใช้โหมดไฟฟ้ามากกว่าการใช้เครื่องยนต์น้ำมันมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ให้ดียิ่งขึ้น
  2. ลดข้อจำกัดทางเทคนิคของผู้ผลิต โดยบางผู้ผลิตจำเป็นต้องใช้ถังน้ำมันขนาดใหญ่เพื่อให้เหมาะกับโครงสร้างของรถ เช่น รถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) หรือ รถสำหรับครอบครัว การตัดเงื่อนไขนี้เปิดทางให้รถรุ่นใหญ่เข้าร่วมมาตรการได้ เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคบนฐานภาษีที่เป็นธรรม
  3. สอดคล้องกับแนวทางสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าในระดับสากล สำหรับหลายประเทศที่สนับสนุน รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (EV) และ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มักพิจารณาจากระยะทางที่วิ่งด้วยไฟฟ้า มากกว่าขนาดถังน้ำมัน เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลมากขึ้น เปิดโอกาสให้สามารถพัฒนาเพื่อการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ได้ในอนาคต

PHEV

แหล่งข่าวจาก บริษัท เมอร์เซเดสเบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับนโยบายดังกล่าวส่งผลดีต่อการตัดสินใจเลือกนำรถยนต์รุ่นใหม่มาผลิตหรือประกอบในประเทศไทย ตามนโยบายการสนับสนุนรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของรัฐบาลที่ได้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการผลิตรถยนต์ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดจำนวน 6 รุ่นด้วยกัน อาทิ C-Class, E-Class, S-Class รวมถึงรถยนต์ในกลุ่ม Mercedes AMG และ Maybach ในประเทศไทย โดยหลักจากนี้มีโอกาสที่จะเพิ่มรุ่นย่อยใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือกได้มากขึ้นจากผลของนโยบายดังกล่าวในอนาคต

PHEV

- Advertisement -spot_img
Mitsubishi Mega Deal
Mitsubishi Mega Deal
ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน
ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน
previous arrow
next arrow
- Advertisement -spot_img

Stay Connected

400,000FansLike
6,955FollowersFollow
153,000FollowersFollow
319FollowersFollow
107,000SubscribersSubscribe

Must Read

Related News