Jeep Wagoneer S เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2024 ในฐานะรถยนต์ SUV ขุมพลังไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ โดยจะเริ่มออกจำหน่ายที่สหรัฐฯ และแคนาดาในครึ่งหลังของปีนี้ ก่อนจะขยายไปทำตลาดทั่วโลก ทั้งยังเป็น Jeep รุ่นที่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศต่ำสุดเท่าที่ Jeep เคยมีมากับตัวเลข 0.29 Cd หรือดีกว่าค่าเฉลี่ยของรถยนต์ SUV ทั่วไปราว 15%
ทั้งหมดเป็นผลจากการที่มีการลบเหลี่ยมหลังคา, สปอยเลอร์หลังคา, มือเปิดประตูเสมอตัวถัง และเพิ่มครีบรีดอากาศใน Jeep Wagoneer S ส่วนเอกลักษณ์ของค่ายยังปรากฎ อยู่ที่กระจังหน้าแบ่งเป็น 7 ช่อง เปล่งแสงได้และปิดตาย ไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์มาให้มีแถบเชื่อมต่อกันตลอดแนว ล้อมีขนาด 20 นิ้ว ในรุ่น Launch Edition จะเน้นความเข้มด้วยการคุมโทนสีตกแต่ง ทั้งดำเงา Gloss Black และเทาเข้ม Dark Neutral Gray
ภายในของ Jeep Wagoneer S รองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง ทั้งยังมีระบบแสดงผลที่เรียกได้ว่าจอใหญ่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน ซึ่งมีขนาดรวมกันใหญ่กว่า 45 นิ้ว ประกอบด้วย มาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว, หน้าจอกลางขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอฝั่งผู้โดยสารขนาด 10.25 นิ้ว หนึ่งเดียวในระดับเช่นกัน ทั้งยังเป็นรุ่นเดียวในระดับอีก ที่มีระบบอุ่นเบาะพร้อมเป่าลมเย็น ครบถ้วนทั้งเบาะหน้าและเบาะหลัง
เครื่องเสียงที่ Jeep Wagoneer S ใช้เป็นของ McIntosh ประกอบด้วยด้วย ลำโพง 19 จุด, amplifier ขนาด 1,160 วัตต์ และ subwoofer ขนาด 12 นิ้ว เพื่อให้สมกับการเป็นรถยนต์ไฟฟ้า จึงมีการนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้ในหลายจุดทั้งเบาะ, คอลโซล, แผงประตู, แดชบอร์ด, ผ้าหลังคาวัสดุ Suede และพรมพื้น วัสดุตกแต่งอื่นรอบคันยังมีการบุนุ่ม, เดินตะเข็บด้ายสีแดง Wine Red และใช้โลหะ ส่วนไฟ Ambient Lighting ปรับได้ 64 สี
ขุมพลังของ Jeep Wagoneer S เป็นระบบไฟฟ้า EV ประกอบด้วย แบตเตอรี่ขนาด 100 kWh และ Electric Drive Modules (EDMs) ซึ่งควบรวมมอเตอร์ไฟฟ้า, ส่วนส่งกำลัง และระบบไฟฟ้าเข้าเป็นส่วนเดียวกัน ทั้งระบบกำลังสูงสุด 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ ปรับได้สี่รูปแบบ ประกอบด้วย Auto, Sport, Eco, Snow และ Sand อัตราเร่ง 0 – 96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 3.4 วินาที
Jeep Wagoneer S ขับขี่ได้ไกลสุดเป็นระยะทางมากกว่า 480 กิโลเมตร รองรับการชาร์จ 400 โวลต์ ใช้เวลาในการชาร์จแบบ DC จาก 20 – 80% ใน 23 นาที ระบบชาร์จที่บ้านมีขนาด 48-amp Level 2 ส่วน platform ที่ใช้เป็นแบบ STLA Large platform ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มีระบบความปลอดภัยรวมกันมากกว่า 170 รายการรวมถึง ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ, ระบบลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ และกล้องมองภาพรอบคัน ทั้งยังรองรับการ update แบบ over-the-air
ที่มา: Stellantis
