นิธิ ท้วมประถม
ครับ!! อย่างที่ผมจั่วหัวเอาไว้ว่า บทความครั้งนี้เกี่ยวกับการเดินขับรถ นิสสัน 3 รุ่น บนเส้นทางข้ามประเทศ จากประเทศไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นั่นก็คือ เมียนมาร์ และย้อนกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง ด้วยระยะทางไกลกว่า 3,000 กิโลเมตร ใช้เวลาการเดินทางทั้งหมดประมาณ 11 วัน 10 คืนเต็มๆ
ใช่ครับ 10 วัน!! ท่านผู้อ่านอาจมองว่า อะไรกันเส้นทาง 3,000 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาตั้ง 10 วัน ขับกันยังไงวันละแค่ 300 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น สร้างภาพ!! ละสิ
บอกได้เลยครับ ไม่มีการสร้างภาพครับ กับทริปนี้ ขับกันเต็มๆ ทุกวัน ไม่มีกั๊ก แต่เส้นทางบางช่วงขับเช้าจรดเย็น ทำได้ไม่เกิน 400 กิโลเมตรครับ เพราะลักษณะของเส้นทางค่อนข้าง “โหด” มีทั้งทางลูกรัง ทางฝุ่นที่มีหินลอย ทางฝุ่นล้วนๆ ทางขึ้นเขาไกลนับร้อยกิโลเมตร
โดยรถยนต์นิสสัน ที่ถูกวางตัวให้พาพวกเราไปให้บรรลุจุดหมายนั้นมีทั้งหมด 10 คันจากรถยนต์ 3 รุ่นด้วยกัน นั่นคือ รถเอสยูวี อย่าง นิสสัน X-Trail ,นิสสัน เทอร์รา รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ และนิสสัน นาวารา กระบะแสนอึด ที่จะขอมาพิสูจน์ตัวเองว่า แกร่งพอกับเส้นทางเหล่านี้ได้หรือไม่
ซึ่งนิสสัน เทอร์รา รถอเนกประสงค์ PPV น้องใหม่ของ นิสสัน ก็เป็นหนึ่งในพระเอกของการเดินทางครั้งนี้เช่นกัน เนื่องจากเป็นรถที่ถูกร้องขอ “ขับ” มากที่สุดคันหนึ่งในทริป แต่ด้วยเหตุผลอะไร ผมจะเฉลยให้ทีหลังครับ และแน่นอนว่า รุ่นที่ 3 ที่ขาดไม่ได้คือ กระบะสุดแกร่งอย่าง นิสสัน นาวารา เวอร์ชั่น แบล็ค เอดิชั่น ปี 2019 ก็ต้องมาร่วมขบวนด้วย โดยมีหน้าที่ขนสัมภาระ อุปกรณ์และอะไหล่ที่จำเป็นทั้งหลาย สำหรับการเดินทางระยะไกลเช่นนี้
สำหรับการเดินทางระยะไกลข้ามประเทศครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของ นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ที่จัดกิจกรรมในลักษณะนี้ขึ้น ก็ต้องขอปรบมือให้กับความใจกล้าของนิสสัน ที่ก้าวพ้นความ “เนิบนาบ” ในการทำกิจกรรมมาได้ ซึ่งก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า เมื่อนิสสัน “ลุก” ขึ้นมาทำกิจกรรมที่หวือหวา มากขึ้นจะช่วยให้ยอดขายกระเตื้องขึ้นมามากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนตัวผมเชื่อว่าเลยว่ามีผลแน่นอนครับ
กิจกรรมครั้งนี้ นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ในกิจกรรมที่จัดขึ้นด้วยแนวคิด “Nissan Intelligent Driving Experience (NIDE) Go Anywhere” เพื่อพิสูจน์ ไลฟ์สไตล์แบบ “ลุยได้ทุกที่” ของนิสสัน นั้นเป็นไปได้จริงหรือไม่
เส้นทางการเดินทางนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วง โดยสื่อจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะเริ่มต้นเดินทางตั้งแต่ทางหลวงในจังหวัดกาญจนบุรี สู่ด่านพรมแดน ณ บ้านพุน้ำร้อน ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เมืองทวาย าน ผ่านเเมืองมะละแหม่ง เมืองพะโค ผ่านเทือกเขาที่ลาดชันเลียบแม่น้ำสาละวิน และเดินทางจบการเดินทางที่นครย่างกุ้ง ส่วนกลุ่มที่ 2 จะเดินทางจาก จากนครย่างกุ้ง สู่เมืองมัณฑะเลย์ มหานครแห่งเจดีย์
ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มที่ผมได้มีโอกาสได้ร่วมขับ โดยระยะทางช่วงสุดท้ายต้องใช้เวลา 4 คืน 5 วัน มากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ โดยเรามารับไม้ต่อจาก มัณฑะเลย์ มุ่งสู่ ทะเลสาบอินเล ผ่านเข้าเมืองน้ำจ๋าง และเข้าสู่ประเทศไทย ณ ชายแดน แม่สอด โดยเส้่นทางช่วงนี้ “โหด” ได้ใจเลยครับ กับทางที่ไม่เป็นมิตรกับช่วงล่างของรถ ยกเว้นช่วงล่างรถบรรทุกเท่านั้น หรือคดโค้งตั้งแต่เช้าจรดเย็น เอาเป็นว่าลืมทางตรงกันไปเลย
จุดเริ่มต้นการลองขับของผม อย่างที่บอกครับเราเริ่มกันจากบินจากกรุงเทพ ไปสู่ เมืองมัณฑะเลย์ ที่เต็มไปด้วยเจดีย์ แสดงให้เห็นถึงตวามศรัทธในศาสนาพุทธของชาวพม่า ที่ผมว่าเหนือกว่าคนไทยเราไม่น้อยทีเดียว เห็นได้จากการเข้าชมวัดต่างๆ ในพม่า เราจะเห็นชาวพม่ามาทำบุญกันไม่ชาดสาย นอกจากมาทำบุญแล้ว ยังมานั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิกันมากมาย เรียกว่าเห็นกันเป็นเรื่องธรรมดากันเลยทีเดียว
ในวันแรกผมมีโอกาสได้ขับ นิสสัน เทอร์ร่า รถอเนกประสงค์ PPV น้องใหม่ในตลาด PPV เมืองไทย ซึ่งผมเองก็ได้ลองขับเจ้าเทอร์ร่า ไปแล้ว เมื่อคราวเปิดตัวบนเส้นทางขึ้นเขาที่เชียงราย ก็ได้เห็นถึงจุดอ่อน และจุดเด่นของเทอร์รา ไปไม่น้อย
แต่ในครั้งนี้ เรามีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่กับ เทอร์ร่า นานถึง 2 วันเต้มๆ ทำให้ได้เห็นรายละเอียดในการใช้งาน นิสสัน เทอร์ร่า คันนี้มากขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
ในบทความนี้ จะรบรรยายถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ด้วยนะครับ แต่ท่านผู้อ่านสามารถติดตามภาพการเดินทางทั้งหมดได้ทางช่อง YOUTUBE ของ autolifethailand official ได้ครับ ซึ่งผมได้ทำทั้งคลิปลองขับ และท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ตามรายทางที่เราขับผ่าน ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพกันจริงๆ ด้วย
กลับมาที่การลองขับเจ้า นิสสัน เทอร์รา กันครับ ในวันนี้ก่อนที่เราจะออกจากตัวเมืองมัณฑะเลย์ ทางทีมงานพาเราแวะไปที่ วัดกุโสดอว์ ซึ่งเป็ดวัดสำคัญของที่นี่ครับ เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐาน จารึกพระไตรปิฏกไว้มากที่สุด และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย
คณะเดินทางของเราแวะสักการะเจดีย์กุโสดอว์ เพื่อเป็นศิริมงคลในการเดินทาง ซึ่งที่นี่ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ของอาหารถิ่นชาวพม่าครับ ผมเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าที่พม่า นิยมทานเนื้อแพะกันไม่น้อย ร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีเมนูที่มีเนื้อแพะอยู่ไม่น้อยทีเดียว ดูแล้วเยอะกว่าเนื้อหมูเสียอีก
และเมื่อมีการบริโภคเนื้อแพะกันมาก เมนูเนื้อแพะก็จะปรากฏให้เห็นไม่น้อย ไม่เว้นแม้กระทั่ง รถเข็นริมทางเดิน ก็มีเมนูเนื้อแพะขายเช่นกัน
โดยเมนูยอดนิยมคือ เนื้อแพะเสียบไม้ย่าง!! นั่นเอง แต่คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งนึกถึงเนื้อแพะชิ้นใหญ่ๆ แบบบาร์บีคิว เสียบไม้ สวยงามเหมือนในร้านอาหารบ้านเรานะครับ เพราะแพะเสียบไม้ย่างที่นี่ มีเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างยอดเยี่ยมคือ เป็นเศษเนื้อแพะครับ ต้องบอกว่าเป็นเศษจริงๆ เค้าเอาเศษเนื้อแพะมาเสียบไม้ เสียบลูกชิ้นบ้านเรามาย่าง
ที่เรียกว่าเศษ ก็เพราะว่าเนื้อแพะที่ถูกเสียบนั้นใหญ่กว่าไม้เสียบนิดเดียวจริงๆ มองไปแล้วเหมือนกับมีใครมาทานเนื้อจากไม้นี้แล้วกัดออกไปไม่หมดยังมีเศษเนื้อเหลือๆ ติดอยู่ นั่นแหละครับ
ต้องปรบมือให้กับ คนเสียบจริงๆ เสียบเนื้อไปได้ยังไง ดูแล้วไม้ใหญ่กว่าเนื้อเสียอีก แต่จะว่าอย่างไร ผมก็ซื้อมาลองเสียหน่อย เลยจัดไป 4 ไม้ สนนราคาก็ประมาณ 20 บาทครับ ดูแล้วไม่น่าแพง แต่พอเหลือบตามองเนื้อที่ติดไม้แล้ว อืม…..“แพงอ่ะ”
แต่คนที่นี่เขาก็ทานกันแบบนี้ ราคานี้ ก็ว่าไปกันไป รสชาติเศษแพะย่างก็ได้อยู่ มีกลิ่นสาบแพะ และเครื่องเทศ ติดอยู่ให้รู้ว่า เรากำลังไม่ได้กินแพะธรรมดานะเฟ้ยยย มีการปรุงรสให้ด้วย ถือว่าใช้ได้ครับถ้ามีข้าวเหนียวร้อนๆ จะแจ่มมาก แต่ที่นี่ไม่มีข้าวเหนียวนะจ้ะ…เค้าไม่ทานกัน มีแต่ข้าวสวยกับขนมจีน อืม…แปลกดีเหมือนกัน
นอกจากเศษแพะย่างแล้ว ในร้านเดียวกันยังมีเจ้าเศษเนื้อขาวๆ เสียบไม้ย่างวางอยุ่เป็นกองข่้างๆ กัน ราคาก็เท่ากันเสียด้วย ลองดมๆ ดูกลิ่นก็ไม่เลว แต่ให้ชัวร์ ถามไกด์ดูหน่อยดีกว่าว่ามันคืออะไร
คำตอบที่ได้มาเล่นเอาขนลุกไปทั้งตัว เพราะมันคือ
ไข่แพะปิ้ง!! ครับ
ตายแล้วววว คนที่นี่กินไข่แพะ หรือลูกอัณฑะแพะกันด้วย!! และเป็นเมนูข้างทางกันเลย ปิ้งกันเป็นกองๆๆ โอววว มายก็อดดดด ในชีวิตผมไม่เคยคิดว่าจะเห็นเมนูแบบนี้เป็นเมนูริมถนน เพราะอวัยวะแสนหวงของท่านชายทั้งหลายผมเคยทางแต่ “ตัวเดียวอันเดียว” ของวัวไปทำซุป กับก๋วยเตี๋ยว เท่านั้น แต่นี่ ไข่แพะเต็มๆ อูววว แล้วมรึงก็แปรรูป สะไม่เห็นรูปร่างต้นฉบับกันเลยทีเดียวน่ะ
เอ้า… แต่เมื่อมาแล้วลองก็ได้ฟะ จัดไป 4 ไม้ ลองดมๆ อีกครั้งกลิ่นก็แพะนี่หว่า ลองเล็มๆชิมดู มันๆเลี่ยนๆ แต่ทานตอนร้อนๆ ก็พอได้อยู่ครับ แป๊ปเดียว เจ้าเศษเนื้อขาวๆ 2 ไม้ก็หมดอย่างรวดเร็วพอได้ๆ แต่พอส่งอีก 2 ไม้ที่เหลือ ให้กับเพื่อนๆ ทุกคนหน้าแหยๆ กันหมด แถมปฏิเสธแบบสวยๆ ว่าให้ผมทานต่อเถอะกลัวไม่อิ่ม หึ!! แล้วจะเสียดายยย นะจะบอกให้ กลับเมืองไทย จะไปหาไข่แพะป้ิงได้ที่ไหนกันละ
เฮ้อ…. จากเจดีย์กุโสดอว์ มาจบที่ไข่แพะได้ยังไงฟ่ะเนี่ยะ
เรารีบขึ้นรถกันต่อครับ การเดินทางยังอีกไกล ช่วงครึ่งวันแรกผมขอถือโอกาสนั่งเป็นผู้โดยสารตอนหลังเสียหน่อย ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีโอกาสเท่าไหร่
นิสสัน เทอร์รา สวรรค์สำหรับผู้โดยสาร
ขึ้นมานั่งสัมผัสแรกที่ประทับใจคือ ความเย็นของแอร์ภายในรถมันฉ่ำจริงๆ ส่วนหนึ่งแน่นอนว่ามาจากฟิล์มกรองแสงที่ช่วย แต่หัวใจหลักของความเย็นอยู่ที่ระบบปรับอากาศของนิสสัน เทอร์รา ที่มันเย็นฉ่ำแบบได้ใจมาก
ไม่ให้ได้ใจยังไงละครับ อากาศนอกรถที่มัณฑะเลย์ เกือบๆจะแตะ 40 องศาแล้ว….เรียกว่าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ขอลงจากรถกันหรอกครับ นี่ถ้าฉี่ในรถได้ ก็คงฉี่ในรถกันหลายคนแล้ว ลงไปห้องน้ำแต่ละครั้งตัวแทบไหม้
การเดินทางครั้งนี้ ทำให้ผมรู้เลยว่าคอมเพรสเซอร์ของเทอร์รา ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่น้อยทีเดียว ไว้ใจได้เลยครับ ประกอบกับช่องแอร์ที่อยู่บนบริเวณเพดานห้องโดยสารก็ทำหน้าที่ส่งลมเย็นๆ มาสร้างความสบายให้กับผู้โดยสารตอนหลังได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ส่วนความกว้างขวางของเบาะโดยสารตอน 2 ก็กว้างใช้ได้ครับ ไม่อึดอัดอะไรแม้ว่าจะต้องนั่งระยะทางไกลๆ เบาะโดยสารตอน 2 สามารถปรับระดับพนักพิงได้ด้วย ก็ทำให้ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคไปแล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีที่พักแขนตรงกลางสำหรับผู้โดยสารหลัง เลยทำให้ผู้โดยสารตอนหลังไม่มีที่พิงด้านข้าง และไม่มีที่วางแก้วน้ำตรงกลางด้วย จุดนี้ทางนิสสันน่าจะต้องปรับปรุงอีกหน่อย
ส่วนพื้นที่นั่งโดยสารแถว 3 ถูกใช้เป็นที่เก็บสัมภาระของพวกเราและของทีมงานจนแน่นเอี้ยด ไม่เหลือให้สงสัยในขนาดของพื้นที่เก็บสัมภาระว่าจะน้อยกว่า PPV คู่แข่ง
ซึ่งหากมองในเรื่องของพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายของ PPV ทุกยี่ห้อ บอกได้เลยครับ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ แคบที่สุด เพราะต้องเสียพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับเก้าอี้ที่ยกพับแขวนไว้กับด้านข้างของตัวรถ ขณะที่PPV แบรนด์อื่นๆ เขาพัฒนาการพับเบาะราบไปกับพื้นรถหมดแล้ว
นอกจากความกว้างขวางของห้องโดยสารแล้ว สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในนิสสัน เทอร์รา คือระบบกันสะเทือนที่ดีมากครับ เรียกว่านั่งในรถคันนี้แล้วใกล้เคียงกับนั่งในรถยน์นั่งเลยก็ว่าได้ ผมว่ามันนุ่มที่สุดในบรรดารถ PPV แล้ว ด้วยช่างล่างหลังที่เป็น 5 ลิงค์ ส่งผลให้ช่วยรับแรงสะเทือนจากพืิ้นผิวได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะเมื่อเราผ่านทางลูกรัง ทางขรุขระด้วยระยะทางมากกว่า 200 กิโลเมตร ช่วงล่าง 5 ลิงค์ทำให้ผมไม่รู้สึกทรมานกับการเดินทางในครั้งนี้เลย ยกนิ้วให้เลยครับ และไม่ใช่แค่นุ่มนวลเท่านั้นครับที่สัมผัสได้ ความรู้สึกอีกอย่างที่ได้คือ ผมไม่ “เมารถ” แม้ว่าจะนั่งแถว 2 ก็ตาม
ธรรมดาแล้วผมเป็นคนเมารถครับ นั่งหลังไม่ได้ยิ่งถ้าเป็นทางขึ้น-ลงเขาละก็ ไม่ได้เด็ดขาด คายไข่แพะแน่ๆ
แต่ในครั้งนี้ อาการเมารถไม่เกิดขึ้นเลย ส่วนหนึ่งมาจากเจ้าเทอร์รา นี้โคลงน้อยมากครับ อาการโยนตัวเมื่อเข้าโค้งก็น้อย แม้ว่าช่วงล่างจะนุ่มนวลแต่การโยนตัวของรถมีน้อยมาก สุดยอดดดด ในเรื่องนี้จริงๆ
แต่ความสบายของผมก็จบลงครับ เพราะได้เวลาเปลี่ยนมือไปขับบ้างแล้ว เพราะหลังจากที่เราทางข้าวเที่ยงกันแล้ว เส้นทางข้างหน้าค่อนข้างสาหัสเอาการ คือขึ้นเขาแบบหนักๆ โค้งหักศอกมีให้เลี้ยวแบบไม่ต้องนับมีมาเพียบ ผมเลยขออาสาดีกว่า
จะได้ถือโอกาสลองความแม่นยำของพวงมาลัย กับช่วงล่าง และเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4×4 อีกสักครั้งละกัน
เส้นทางหลังจากนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับมากเอาการอยู่ครับ แม้ว่าเราจะขับกันเป็นคาราวาน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราต้องใช้รถร่วมกับรถท้องถิ่นที่วิ่งค่อนข้างช้า แต่พวกวิ่งเร็วๆ ซิ่งๆ ก็มีครับถ้าเจอแบบนั้นเราก็ให้เขาแซงไปตามสบาย
อย่าลืมนะครับว่า รถในพม่านั้นรถออฟโรดระดับเทพๆ นั้่นมีไม่น้อยเลย พวกเครื่อง V8 วิ่งกันให้เกลื่อน ดังนั้นถ้าเขาอยากไปให้ไปก่อนได้เลยครับ
เครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตรเทอร์โบ ทำงานได้ดีมากบนทางขึ้นเขาแบบชันๆ แตะคันเร่งนิดเดียวแรงบิดที่มากมายก็พาเจ้าเทอร์รา คันเบ้อเริ่มไต่ทางชันไปได้แบบสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อยลุ้นว่าเครื่องยนต์จะมีกำลังพอหรือไม่ เหลือๆครับ
เครื่องยนต์นิสสัน เทอร์รา ทำงานได้ดีทั้งการเร่งส่งตัวขึ้นเนิน และการใช้เป็นเอนจิ้น เบรกเมื่อต้องลงเขายาวๆ
ทางขึ้นเขาที่พม่านี่โหดจริง ขึ้นชันๆยาวๆ เรื่อยๆ แบบไม่หยุดมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เครื่องตัวนี้เอาอยู่สบายครับ ถ้าดูแล้วกำลังหายๆ ก็แค่เปลี่ยนเกียร์ช่วยหน่อยก็ไปได้แล้วครับ และไปได้แบบพุ่งๆด้วย ไม่ใช่ไปแบบไต่ๆเรื่อยๆ
แต่หากเป็นทางราบธรรมดา เครื่องยนต์ตัวนี้ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก อัตราเร่งไม่ได้ปรู๊ดปร๊าด แบบหลั
งติดเบาะ แต่ก็ไว้ใจได้ในการเร่งแซงทั้งในย่านความเร็วปานกลาง และความเร็วสูง แต่เมื่อเราเร่งคันเร่งเพื่อเรียกรอบเครื่องยนต์ สิ่งที่ตามมาและต้องยอมรับให้ได้คือ เรื่องของเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามาในห้องโดยสารมากเอาการอยู่
ผมว่าเสียงเครื่องยนต์ของเทอร์รา เวลาเร่งแซงนี่น่าจะดังกว่า PPV เจ้าอื่นนะ แต่แก้ได้ไม่ยากครับเร่งเสีงวิทยุให้ดังมากขึ้นก็แก้ได้แล้ว หุหุ
ขณะที่การทรงตัว และการควบคุมพวงมาลัยไว้ใจได้เลย แต่ขอติที่พวงมาลัยหนักมากไปหน่อยในช่วงความเร็วต่ำ ต้องใช้กำลังในการหมุนพวงมาลัยมากเกินไปเมื่อใช้งานในเมือง ตรงจุดนี้ผมไม่ชอบ
แต่หากวิ่งด้วยความเร็วเกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง น้ำหนักพวงมาลัยกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ และยิ่งขับด้วยความเร็วที่สูงขึ้น พวงมาลัยนิ่งมากครับ ไว้ใจได้เลย
การควบคุมพวงมาลัยในเส้นทางคดโค้ง เทอร์รา ทำได้ดีทีเดียว พวงมาลัยแม่นยำระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่คมเท่ากับ ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ แต่ก็ถือว่าแม่นมากแล้ว เข้าโค้งได้อย่างสบายใจ ช่วงล่างก็แม่นยำหนึบๆแน่นๆ แม้ว่าการขับส่วนใหญ่ ผมจะใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อก็ตาม เพราะกำลังของรถจะพุ่งกว่าเวลาเราใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
แต่ก็มีการปรับระบบขับเคลื่อนเป็น 4 ล้อบางครับ ในถนนบางช่วงที่เป็นทางฝุ่นหนาๆ แบบนั้นขับ 4 ดีกว่า การปรับระบบขับเคลื่อนจาก 2 ล้อเป็น 4 ล้อก็ทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องหยุดรถก่อน ดีครับถือว่าสะดวกดีและช่วยในเรื่องของความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย
เอาเป็นว่าช่วงล่างของ นิสสัน เทอร์รา ไว้ใจได้เลยครับในทางคดโค้งต่างๆ สอบผ่านสบายๆ ครับ
ต้องยอมรับว่า ผมขับนิสสัน เทอร์รา ครั้งนี้ด้วยระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร นั้นไม่เหนื่อยเท่าไหร่ครับ สมรรถนะของเครื่องยนต์และช่วงล่าง ช่วยให้การขับผ่านเส้นทางยากๆ นี้ง่ายมากขึ้นทีเดียว
ส่วนเรื่องออปชั่นต่างๆ ที่นิสสัน ใส่มาให้ไม่ว่าจะเป็นกล้องมองภาพรอบคัน ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน ระบบสัญญาณเตือนเมื่อมีวัตถุอยู่ในจุดอับสายตา ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลย ระบบช่วยออกตัวและควบคุมความเร็วบนทางลาดชัน ระบบป้องกันการลื่นไถล ที่รวมๆแล้วนิสสันเรียกว่า นิสสัน อินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี้ นั้นผมไม่ค่อยจะตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะค่ายอื่นๆ เขาก็มีกัน และออกจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ
ถือว่าไม่ใช่เรื่องเด่นอะไร แต่ก็มีมาให้ดีกว่าไม่มี
ส่วนตัวแล้วผมว่า นิสสัน เทอร์รา นั้นเป็นรถครอบครัวที่รักการเดินทางท่องเที่ยวเลยละครับ เพราะครอบครัวของคุณจะเดินทางได้ด้วยความสบายจากเบาะที่นั่งตอนหลัง ความนุ่มนวลของช่วงล่าง และการโยนของตัวรถที่มีน้อยเหลือเกิน
มันเป็นรถครอบครัวที่ลงตัว ทั้งการใช้งานในเมืองและเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดแบบไปเรื่อยๆ ไม่ช้า ไม่เร็ว หน้าตาอาจไม่โดดเด่น เทคโนโลยีอาจไม่ล้ำสมัย
แต่มันคือรถที่เป็นสวรรค์ สำหรับคนนั่งเลยละครับ
ส่วนในตอนหน้า เราจะไปลองขับ รถเอสยุวี คันเก่งของนิสสัน นั่นคือ นิสสัน เอ็กซ์เทรล และรถกระบะนิสสัน นาวารา แบล็ก เอดิชั่น เวอร์ชั่น 2019 พร้อมเที่ยวทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดใน เมียนมาร์กันครับ