นาย บิล จาง ผู้อำนวยการบริหารแบรนด์ OMODA & JAECOO ประเทศไทย เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการดำเนินงานโรงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย จะเริ่มต้นเดินสายพานการผลิตในช่วงปลายปี 2568 โดยจะมีการผลิตใน 3 รุ่นด้วยกันได้แก่ JAECOO 6 EV, JAECOO 5 EV และ OMODA C5 EV ซึ่งมีแผนการประกอบจำนวน 80,000 คัน นับตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป รวมถึงการกำหนดเป้าหมายการก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) รวมถึง ศูนย์พัฒนาบุคลากร (Training Center) ภายใน 5 ปีจากนี้
“การตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ถือเป็นการวางแผนเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคชาวไทยได้มากขึ้นจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยโดยเฉพาะ”
ทั้งนี้ แผนการกระจายฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานในประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการประกอบรถยนต์พลังงานใหม่ หรือ Hub of NEV (New Energy Vehicle), โรงงานในประเทศมาเลเซียจะเป็นศูนย์กลางการประกอบรถยนต์พลังงานปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และ โรงงานในประเทศอินโดนีเซียจะเป็นศูนย์กลางการประกอบรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE)
สำหรับ โรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยมีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ราว 5,000 ล้านบาทพร้อมวางแผนขยายกำลังการผลิตในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยประเทศไทยถือเป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญของกลุ่มเชอรี่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : JAECOO 5 EV ดันยอดขายปี’68 ทะลุเป้า 1 หมื่นคัน หวังปีหน้าโต 2 เท่า
สำหรับ วันที่ 25 กันยายน 2568 นี้ ครบรอบ 1 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยผลการดำเนินงานในช่วงปีแรกยืนยันได้ว่าบริษัทเดินมาถูกทาง ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะ JAECOO 5 EV ที่สามารถทำยอดจองได้กว่า 5,000 คันในเดือน สิงหาคม 2568
นอกจากนี้ แผนการขยายศูนย์จำหน่ายและบริการปัจจุบันมีจำนวน 60 แห่ง และภายในสิ้นปีนี้จะมีจำนวน 70 แห่ง และจะเพิ่มเป็น 90 แห่ง ภายในไตรมาส 1/2569
นาย บิล กล่าวว่า ภายในปีนี้คาดว่ายอดขายของบริษัทจะอยู่ในระดับมากกว่า 10,000 คัน และในปี 2569 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 25,000 คัน
ขณะที่ แผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของบริษัทภายในปีนี้จะมีการเปิดตัวอีก 3 รุ่นใหม่ ภายใต้เทคโนโลยี REEV, BEV และ PHEV รวมถึงในช่วงงาน มหกรรมยานยนต์ หรือ Motor Expo 2025 ช่วงปลายปีนี้จะมีการเปิดตัว OMODA C3 ครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มประกอบและจำหน่ายในประเทศไทยwด้ในช่วง ไตรมาส 3/2569
อย่างไรก้ตาม ล่าสุด บริษัทได้เปิดแคมเปญด้านบริการหลังการขายภายใต้ชื่อ “OJ O-Jai” (โอเจ โอใจ) ครอบคลุมทุกความต้องการได้แก่
- ศูนย์บริการลูกค้า (Call Center) ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ผ่านช่องทางโทรศัพท์หมายเลข 02 020 8888
- บริการรถสำรอง (Courtesy Car) สำหรับกรณีที่รถมีปัญหาที่เกิดจากระบบ
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (Roadside Assistance) ฟรีในระยะทาง 200 กิโลเมตร (ขยายระยะจากเดิม 100 กิโลเมตร) ด้วยมาตรฐานการเข้าถึงภายใน 30 นาทีในเขตกรุงเทพฯ และ 45 นาทีในต่างจังหวัด
- บริการ Mobile Service บริการถึงที่สำหรับงานซ่อมบำรุงเบื้องต้น และ ภายในปีหน้าจะเพิ่มบริการรับ–ส่งรถ (Pick-Up & Delivery) สำหรับลูกค้าที่ไม่สะดวกเดินทาง โดยทั้งสองบริการนี้จำกัดการใช้งาน 2 ครั้งต่อปี




