Audi E-Tron GT มีรุ่น Facelift ตามมาแล้วเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2024 หลังเปิดตัวครั้งแรกในปี 2021 ซึ่งความเปลี่ยนแปลงมีทั้งดีไซน์นอกใน และสมรรถนะรอบด้านตั้งแต่ขุมพลัง EV ไปจนถึงช่วงล่าง ส่วนสีตัวถังมีให้เลือก 9 สี ประกอบด้วย สีขาว Arkona White, สีน้ำเงิน Ascari Blue, สีเทา Daytona Gray, สีเงิน Florett Silver, สีเทา Kemora Gray, สีดำ Mythos Black, สีแดง Progressive Red, สีเทา Nimbus Gray และ สีใหม่กับสีเขียว Bedford Green
Audi E-Tron GT Facelift ปรับดีไซน์ภายนอกใหม่ให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น กระจังหน้า Singleframe ผสานการใช้สีตัวถังตัดด้วยสีดำล้อมรอบให้เหมือนหน้ากาก ผสานกับโลโก้สี่ห่วงแบบ 2D ตาม CI ล่าสุด ชายกันชนเตี้ยลงมาจากเดิมทำให้รถดูติดพื้นขึ้น ครีบสันบนแก้มคู่หน้ายังขยายให้ใหญ่กว่าเดิม ด้านหลังปรับครีบดิฟฟิวเซอร์ใหม่ พร้อมทั้งปรับการใช้สีตกแต่งด้วย ส่วนล้อเพิ่มลายใหม่เช่นกัน มีให้เลือกทั้งขนาด 20 – 21 นิ้ว ในรุ่น GT Performance เพิ่มความเข้มด้วยการนำวัสดุคาร์บอนมาตกแต่รอบคัน
ภายในของ Audi E-Tron GT Facelift ปรับไปใช้โลโก้แบบใหม่เช่นกันทั้งบนเบาะ, พวงมาลัย, กันเตะประตู, กราฟฟิกในระบบแสดงผล และไฟส่องพื้นตอนเปิดประตู เบาะยังปรับดีไซน์ใหม่ให้ดูสปอร์ตและนั่งกระชับขึ้น ส่วนพวงมาลัยปรับไปเป็นแบบหัวและท้ายตัด พร้อมระบุตำแหน่ง 12 นาฬิกา ในรุ่น RS วัสดุที่ใช้ตกแต่งเป็นแบบรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งไมโครไฟเบอร์ Dinamica ให้สัมผัสเหมือนหนังกลับ และผ้า Cascade ในรุ่น GT Performance ยังสามารถปรับระบบ Audi virtual cockpit ให้แสดงมาตรวัดแบบเข็มพื้นขาว สไตล์ย้อนยุค
ขุมพลังของ Audi E-Tron GT Facelift เป็นระบบไฟฟ้า EV ที่ปรับแต่งใหม่ในหลายส่วน เริ่มต้นกับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าแบบ PSM ให้กำลังสูงสุด 239 แรงม้า ผ่านการปรับแต่งให้ชาร์จไฟกลับได้ดีกว่าเดิม ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าหลังเป็นแบบ PSM และปรับแต่งใหม่เช่นกัน กำลังสูงสุด 564 แรงม้า สำหรับตัวเลขสมรรถนะโดยสังเขปของแต่ละรุ่นมีดังต่อไปนี้
- S e-tron GT กำลังสูงสุด 679 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- RS e-tron GT กำลังสูงสุด 856 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 2.8 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- RS e-tron GT Performance กำลังสูงสุด 925 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 2.5 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง นับเป็น production car ของ Audi ที่มีพละกำลังสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
แบตเตอรี่ของ Audi E-Tron GT Facelift มีขนาด 105 kWh ให้ระยะทางขับขี่สูงสุด 609 กิโลเมตร ปรับแต่งระบบ Regenerative Braking ใหม่ให้ดึงพลังงานจากการเบรกกลับมาได้มากกว่าเดิม ทั้งยังลดน้ำหนักแบตเตอรี่ลงได้จากเดิม 9 กิโลกรัม พร้อมเพิ่มสมรรถนะการชาร์จขึ้นอีก 50 kW เป็น 320 kW สามารถชาร์จไฟจาก 10 – 80% ใน 18 นาที หรือชาร์จไฟ 10 นาที เพื่อให้มีพลังงานขับขี่ไปได้อีก 280 กิโลเมตร
ช่วงล่างของ Audi E-Tron GT Facelift พัฒนาใหม่เป็นช่วงล่างถุงลมแบบ 2-chamber/2-valve ตอบโจทย์ทั้งความสบายและสมรรถนะ ในรุ่นมาตรฐานปรับแต่งได้ทั้งแบบ efficiency, comfort และ dynamic ส่วนรุ่น RS จะปรับแต่งได้หลากหลายกว่า ทั้งยังมีระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อที่ปรับเลี้ยวล้อหลังได้สูงสุด 2.8 องศา ส่วนระบบเบรกพัฒนาใหม่เช่นกัน โดยแบบมาตรฐานเป็นจานเหล็กพร้อมคาลิปเปอร์สีดำ
ในรุ่นย่อยตระกูล RS จะปรับไปใช้จานเบรกเคลือบ tungsten carbide พร้อมเลือกสีคาลิปเปอร์เบรกได้ทั้งดำ, แดง หรือส้ม ทั้งยังสามารถสั่งเพิ่มจานเบรก ceramic carbon-fiber ได้ Audi Facelift พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ว สนนราคาจำหน่ายเริ่มต้นในยุโรปแบ่งตามรุ่นย่อย โดยที่ยังไม่รวมภาษีนำเข้าของประเทศไทยดังนี้
- S e-tron GT ราคาเริ่มต้น 126,000 ยูโร (ราว 4,961,000 บาท)
- RS e-tron GT ราคาเริ่มต้น 147,500 ยูโร (ราว 5,808,000 บาท)
- RS e-tron GT Performance ราคาเริ่มต้น 160,500 ยูโร (ราว 6,320,000 บาท)
ที่มา: Audi