ค่ายรถจีน 8 บริษัท เล็งเสนอปรับเงื่อนไข EV3.0 ต้นเหตุ “สงครามราคาอีวี”

แหล่งข่าวในที่ประชุมการประชุมระหว่าง บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน 8 ราย เปิดเผยกับ Autolifethailand ว่า ในการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมประจำไตรมาสเพื่อรับฟังปัญหาและการสื่อสารกับบริษัทในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปัจจุบันถือว่ามีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์ สงครามราคา ในขณะนี้

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวยังถือเป็นครั้งแรกที่มีประธานบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนทั้ง 8 ราย เข้าร่วมการประชุมพร้อมกัน ได้แก่ เอ็มจี (MG), เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM), เนต้า (NETA), บีวายดี (BYD), โอโมดา แอนด์ เจคู (OMODA&JAECOO), ฉางอาน (CHANGAN), ซีคเกอร์ (ZEEKR) และ ไอออน (AION)

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : สัมภาษณ์พิเศษ “สุโรจน์ แสงสนิท” นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยคนใหม่

นอกจากนั้น ในที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึง มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก หรือ EV 3.0 ที่ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนที่เข้ามาลงทุนตามมาตรการดังกล่าวได้เริ่มผลิตใน ระยะที่ 1 (เฟสแรก) ซึ่งศึกษาถึงการใช้ชิ้นส่วนในประเทศและศึกษาความเป็นไปได้ในการประกอบแบตเตอรี่ในประเทศไทย

รวมถึง ที่ประชุมได้สอบถามถึงปัญหาด้านการแข่งขันราคาที่รุนแรง (สงครามราคา) ในขณะนี้ถึงสาเหตุและความจำเป็นของแต่ละบริษัท โดยมีหลากหลายความเห็นประเด็นสำคัญคือ สต็อกสินค้าที่มีจำนวนมาก และอีกส่วนหนึ่งเป็นกลยุทธ์ด้านการตลาด ขณะที่ได้มีการกำชับให้ดูแลและเยียวยาอย่างเหมาะสมสำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

อีกทั้งการ สื่อสารของแบรนด์จีนที่ดำเนินธุรกิจในไทย ที่จะต้องดำเนินธุรกิจเคียงข้างคนไทยและเพื่อสร้างประโยชน์ให้ประเทศไทย โดยในสถานการณ์อุทกภัยทางภาคเหนือในเวลานี้เป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันร่วมมือกันส่งความช่วยเหลือไปถึงประชาชนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน

แหล่งข่าว กล่าวว่า ในที่ประชุมได้มีการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์จีนที่มีการปรับลดราคาอย่างรุนแรง แต่ด้วยในประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดกว้างทางการค้าและมีเสรีทางการแข่งขัน ดังนั้นเมื่อมีคนเริ่มก็เป็นธรรมดาที่มีคนตาม และหลังจากนี้เชื่อว่ายังจะยังคงมีสงครามราคาอยู่ 

อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดว่าอยากนำเสนอให้รัฐบาลมีการปรับเงื่อนไขในการผลิตชดเชย ที่บริษัทที่เข้าร่วมมาตรการ EV 3.0 ต้องผลิตชดเชย 1.5 เท่า จากปริมาณที่นำเข้ามาจำหน่ายก่อนหน้านี้ เนื่องจากสถานการณ์ตลาดปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง เมื่อเริ่มผลิตในประเทศไทยแล้วขายไม่ได้และไม่สามารถส่งออกไปที่ไหนได้ส่งผลให้มีสต๊อกคงค้างเยอะมากจึงต้องมีการลดราคาเพื่อระบายสินค้าออก

“ตอนนี้สถานการณ์ตลาดแย่ทำให้ผู้ประกอบการไม่มีทางเลือกต้องลดราคา เพราะเข้าร่วมมาตรการแล้วถ้าไม่ผลิตก็จะโดนค่าปรับ ซึ่งมีอัตราค่าปรับมากกว่า 5-6 แสนบาท/คัน ดังนั้นเอามาลดราคาดีกว่าที่จะโดนค่าปรับ ซึ่งเข้าใจว่าตอนออกมาตรการเข้าตอนเข้าร่วมมาตรการไม่มีใครคิดว่าตลาดจะชะลอตัวหนักขนาดนี้”