ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ทศวรรษ ของการเปิดโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า ในประเทศไทย ให้บุคคลภายนอกและสื่อมวลชน หรือแม้กระทั่งพนักงานของ Honda เองก็อาจไม่ได้มีโอกาสเข้าไปในสถานที่ดังกล่าวนี้เท่าไรนัก
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญครั้งใหญ่ล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2565-2566 ที่มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก เอ.พี. ฮอนด้า เป็น ไทยฮอนด้า ในวันที่ 1 มิถุนายน 2566 ส่วนในวันที่ 31 มีนาคม 2565 โรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ฮอนด้าได้เปลี่ยนชื่อเป็น ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง (Thai Honda Manufacturing)
โรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ฮอนด้าแห่งแรก ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2508 อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ก่อนที่จะย้ายมายัง นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ซึ่งปัจจุบันที่ โรงงานสมุทรปราการ ได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นสำนักงานใหญ่ด้านการขายและการตลาด (Sale Office)
ส่วนโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ปัจจุบันมีพื้นที่รวมกว่า 3.5 แสนตารางเมตร โดยมีกำลังการผลิตรถจักรยานยนต์รวมสูงสุด 1.7 ล้านคัน/ปี แบ่งเป็น 2 โรงงาน และมีกำลังการผลิตเครื่องยนต์อเนกประสงค์รวมสูงสุด 1.2 ล้านเครื่อง/ปี โดยมีการจ้างงานรวม 8,620 คน
โรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ที่จะกล่าวถึงเป็นอันดับแรกคือ โรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก (Commuter Factiry) มีจำนวน 3 ไลน์ผลิตได้แก่
- ไลน์ที่ 1 ผลิตรุ่น Wave110, Wave125 และ Dream110 มีปริมาณการผลิต 2,200 คัน/วัน
- ไลน์ที่ 2 ผลิตรุ่น Scoopy, Click125, Click160 และ Giorno+ มีปริมาณการผลิต 2,200 คัน/วัน
- ไลน์ที่ 3 ผลิตรุ่น PCX160 และ ADV160 มีปริมาณการผลิต 1,000 คัน/วัน
ส่วนอีกโรงงานหนึ่งในพื้นที่เดียวกันผลิตรถจักรยานยนต์ในกลุ่มบิ๊กไบค์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Global Factory) มีจำนวน 3 ไลน์ผลิตได้แก่
- ไลน์ที่ 1 ผลิตรุ่น CBR650, REBEL500 และ CRF250 มีปริมาณการผลิต 880 คัน/วัน
- ไลน์ที่ 2 ผลิตรุ่น Super Cub, Monkey, Dax, CT125 มีปริมาณการผลิต 300 คัน/วัน
- ไลน์ที่ 3 ผลิตรุ่น CUV e:, Forza มีปริมาณการผลิต 100 คัน/วัน
ทั้งนี้ ทั้ง 2 โรงงานยังสามารถปรับเปลี่ยนไลน์การผลิตที่มีความยืดหยุ่นตามปริมาณความต้องการของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงยังมีการผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์เพื่อการส่งออกอีกด้วย
ขณะที่ โรงงานผลิตเครื่องยนต์อเนกประสงค์มีการผลิต เครื่องสูบน้ำ, เครื่องปั่นไฟ, เครื่องพ่นยา, เครื่องตัดหญ้า, เครื่องยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก รวมถึงยังมีการผลิตชิ้นส่วนเพื่อการส่งออกอีกด้วย
สำหรับ รถจักรยานยนต์ 1 คัน ที่โรงงานแห่งนี้ใช้ระยะเวลาการผลิตที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 23 วินาที/คัน ในรุ่น Wave110, Wave125 และ Super Cub110 ส่วน Scoopy110, Click125, Click160, Dream125 และ Giorno+ ใช้ระยะเวลาการผลิต 25 วินาที/คัน ด้าน PCX160 และ ADV160 ใช้ระยะเวลาการผลิต 50 วินาที/คัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไทยฮอนด้า ปรับไลน์ผลิต Honda Giorno+ เพิ่ม 3 เท่า เร่งเคลียร์ส่งมอบ
ขณะเดียวกัน ในส่วนของ Global Factory ที่มีความซับซ้อนของการผลิต จะมีระยะเวลาการผลิตต่อคันที่ช้ากว่าเนื่องจากต้องใช้ทักษะฝีมือแรงงานขั้นสูงในการประกอบ รวมถึงด้านความปลอดภัย อย่างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
โรงงานแห่งนี้ในสายพานการผลิตมีการผสมผสานระหว่าง การใช้บุคลากร และ การใช้เครื่องจักร ซึ่งมีความต้องการในด้านการผลิตที่แตกต่างกันออกไป แต่มีการควบคุมคุณภาพด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยเช่น การขันปอนด์น็อต และการตรวจสอบคุณภาพในทุกขั้นตอนก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค ส่วนในจุดสำคัญที่ต้องใช้ความแม่นยำขั้นสูงในการผลิตเช่น การเชื่อม, การพ่นสี, การหล่อโลหะจะใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงรวมถึงหุ่นยนต์ในการผลิต
นอกจากนี้ ในโรงงานยังมีการพัฒนาระบบสายพานลำเลียงและการใช้หุ่นยนต์ที่ช่วยในการเคลื่อนย้ายชิ้นส่วน ในกระบวนการผลิตเพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานของพนักงานในโรงงานอีกด้วย
โรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ยังมีไลน์ผลิต Honda CUV e: รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 100% ที่โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ซึ่งเป็นฐานการผลิตแห่งที่ 2 ของโลก ต่อจากอินโดนีเซีย สะท้อนถึงความสำคัญของฐานการผลิตในประเทศไทย และสอดคล้องกับแผนการเตรียมเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่จะจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในปี 2569 เป็นต้นไป
สำหรับกำลังการผลิตจำนวนดังกล่าวบริษัทมองว่ายังเพียงพอต่อความต้องการทั้งด้านการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและการส่งออกในช่วงระยะเวลา 3 ปีจากนี้ เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่ภาวะตลาดอิ่มตัวที่ไม่มีอัตราการเติบโตขึ้นหรือลดลงในระดับที่หวือหวา ซึ่งคาดว่าตลาดจะอยู่ที่ระดับ 1.7 ล้านคัน
Thai Honda Manufacturing ถือเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกสำหรับ ฮอนด้า ซึ่งมีการส่งออกรถจักรยานยนต์ไปกว่า 74 ประเทศทั่วโลก ราว 2.5 แสนคัน/ปี ขณะที่ โรงงานแห่งนี้ส่งออกเครื่องยนต์อเนกประสงค์เป็นหลักกว่า 1 ล้านเครื่อง/ปี ไปกว่า 85 ประเทศทั่วโลก โดยทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์มีตลาดหลักคือ กลุ่มประเทศอาเซียน, ยุโรป, ญี่ปุ่น, อเมริกาเหนือและจีน
