นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขายดูแลรับผิดชอบด้านการขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (Mitsubishi) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม–มิถุนายน) ของปี 2568 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ โดยสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังที่ต้องจับตามีทั้งในระดับโลกและระดับในประเทศ อาทิ นโยบายภาษีสหรัฐ, สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา, ราคาพืชผลการเกษตร และ สถานการณ์อุทกภัย (น้ำท่วม)
ทั้งนี้ แม้สถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงแต่ส่งผลกระทบโดยอ้อมต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่น นโยบายภาษีสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเพื่อการส่งออกต่างประเทศที่อาจชะลอดูความชัดเจนจึงกระทบต่อการจ้างงานและการทำงานล่วงเวลาถือเป็นผลกระทบโดยอ้อม หรือด้านสถานการณ์ชายแดน และ น้ำท่วม กระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคในพื้นที่
สำหรับ สัดส่วนยอดขายของรถกระบะในตลาดรถยนต์ประเทศไทยปัจจุบันมีสัดส่วนต่ำกว่า 30% ของตลาดรวม จากปัจจัยความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ซึ่งกระทบต่อผู้เล่นในตลาดกันทุกราย แต่บริษัทมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่าง Mitsubishi Xforce HEV ใหม่ โดยปัจจุบันมียอดค้างส่งมอบอยู่จำนวนหนึ่งและอยู่ระหว่างการบริหารจัดการ คาดว่าภายใน 1-2 เดือนจะเรียบร้อย
“เราเชื่อว่ากระแสของรถยนต์ไฮบริดจะทำให้ มิตซูบิชิ เติบโตได้ตามลำดับ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค”
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายยอดขายในปีนี้บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 6% จากภาพรวมตลาด โดยผ่านไปครึ่งปียังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้โดยมียอดขายสะสม 6 เดือน (มกราคม–มิถุนายน) อยู่ที่ 13,648 คัน เติบโตขึ้น 9% จากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 12,508 คันโดยมีรายละเอียดดังนี้
- Mitsubishi Triton มียอดขายอยู่ที่ 4,775 คัน
- Mitsubishi Pajero Sport มียอดขายอยู่ที่ 888 คัน
- Mitsubishi XPANDER มียอดขายอยู่ที่ 3,059 คัน
- Mitsubishi Mirage มียอดขายอยู่ที่ 1,513 คัน
- Mitsubishi Attrage มียอดขายอยู่ที่ 1,343 คัน
- Mitsubishi XFORCE มียอดขายอยู่ที่ 2,070 คัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ยอดขาย MINI MPV 7 ที่นั่ง เดือน มิถุนายน 68 รวม 1,092 คัน : Mitsubishi Xpander ครองแชมป์
นายสาโรจน์ กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดปัจจุบันมองว่าอยู่ในสภาวะที่ยังยากลำบาก เนื่องจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงต้นปี โดยคาดว่าภาพรวมตลาดในปีนี้ต้องลุ้นว่าจะอยู่ในระดับ 550,000 – 600,000 คัน ตามที่คาดการณ์ไว้ได้หรือไม่