หากจะกล่าวถึงแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่เข้าสู่ตลาดในประเทศไทยเวลานี้นั้นมีมากมายเสียเหลือเกิน หากแต่แบรนด์ที่ถือเป็นกระแสไม่น้อยด้วยการเข้าโชว์ตัวในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 หรือ มอเตอร์โชว์ 2024 (Motor Show 2024) ทั้งที่ยังเป็นเพียงแค่การแนะนำแบรนด์และผลิตภัณฑ์ (Debut Brand&Product) เท่านั้น อย่าง ZEEKR (ซีคเกอร์) แต่ได้รับกระแสเสียงการตอบรับในระยะเวลาเพียง 7 วันของ มอเตอร์โชว์ มียอดจองไปแล้วเฉียด ๆ 200 คัน
Autolifethailand ได้เดินทางไปยัง สปป.ลาว โดยคำเชิญของ มะนิยมออโต้กรุ๊ป ผู้แทนจำหน่ายและบริการหลังการขาย ซีคเกอร์ อย่างเป็นทางการใน สปป.ลาว เพื่อเปิดตัวศูนย์จำหน่ายและบริการหลังการขาย แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “อเล็กซ์ เป่า จ้วงเฟย” ผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้จัดการทั่วไป ซีคเกอร์ ประเทศไทย ที่เดินทางไปร่วมงานในครั้งนี้ถึงทิศทาง-กลยุทธ์ของแบรนด์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ZEEKR มองเห็นโอกาสอะไรในประเทศไทย
อเล็กซ์ เล่าให้ฟังว่า ก่อนอื่นเลย ซีคเกอร์ มีแผนที่จะขยายตลาดเติบโตในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอยู่แล้ว ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการขยายตลาดในทวีป ยุโรป และ ตะวันออกกลาง เป็นที่เรียบร้อย และมีแผนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาด้วย ดังนั้น ตลาดสำหรับรถยนต์พวงมาลัยขวามีที่ไหนในโลกบ้าง และหากถามถึงตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีที่ไหนในโลกบ้าง ซึ่งหลัก ๆ ก็มีไม่ถึง 10 ประเทศ ได้แก่
- สหราชอาณาจักร
- ออสเตรเลีย
- อเมริกาใต้
- มาเลเซีย
- สิงคโปร์
- นิวซีแลนด์
- ไทย
โดยตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่ สหราชอาณาจักร และรองลงมาก็คือ ประเทศไทย โดยแน่นอนว่าใครที่ทำตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาตลาดหลักที่ต้องโฟกัสก็คือประเทศไทย รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า 0% จากจีนที่เราได้รับทำให้ยังไงเราก็ต้องมา
สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตเร็วที่สุดก็หนีไม่พ้นประเทศไทย เนื่องจากในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าราว ๆ เกือบ 80,000 คัน หรือเติบโตกว่า 7 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่สูงที่สุดในโลกภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศจีนที่ใช้เวลากว่า 10 ปี จากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ยังต้องใช้เวลาในการเติบโตนานพอสมควร
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ZEEKR ทุ่ม 200 ล้านบาทจดทะเบียนบริษัทใช้ไทยเป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอาเซียน
ขณะเดียวกัน ประเทศไทย มีเงื่อนไขการลงทุนที่น่าสนใจและขั้นตอนกระบวนการเข้าสู่ตลาดสะดวกกว่าประเทศอื่น ๆ อาทิ ออสเตรเลีย และ สหราชอาณาจักร ที่มีมาตรฐานการตรวจสอบ, ทดสอบ และ การพัฒนาชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปีในการดำเนินงาน แต่ในประเทศไทยไม่มีความซับซ้อนมีแค่เพียงเงื่อนไขการลงทุนในประเทศไทย
สรุปแล้ว ZEEKR จะลงทุนตั้งโรงงานในไทยหรือไม่ ?
นโยบายส่งเสริมสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV 3.5) เป็นสิ่งที่รัฐบาลส่งเสริมประชาชนในการให้เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วยเงินอุดหนุนมูลค่าราว 100,000 บาท ต่อคัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก, รถยนต์อเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งหากมองว่าได้รับส่วนลดดังกล่าวจะมีสัดส่วนราว 8-10% ของมูลค่ารถ
แต่ ซีคเกอร์ มีผลิตภัณฑ์ รุ่น009 ที่มีระดับราคาราว ๆ 3 ล้านบาท ซึ่งส่วนลดมูลค่าราว 100,000 บาท อาจไม่มีส่วนเห็นผลชัดเจนเท่าไร จะมีก็แต่ในรุ่น X รถยนต์อเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า ของเราที่อาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าวบ้าง ดังนั้นคำตอบชัด ๆ ของคำถามนี้คือ ภายใน 2-3 ปี จากนี้ยินยันว่าไม่มีแผนการตั้งโรงงานและแผนเข้าร่วมโครงการ EV 3.5 อย่างแน่นอน แต่ในระยะยาวจะต้องมีการพิจารณาในเรื่องความคุ้มค่าของการผลิตโดย กลุ่มบริษัท GEELY Group ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์ในระดับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งหากมีการพิจารณาประเทศไทย จะถูกจัดลำดับความสำคัญเป็นประเทศแรกในการพิจารณาตั้งโรงงาน
แผนธุรกิจของ ZEEKR ประเทศไทย และ ในภูมิภาคอาเซียน เป็นอย่างไร ?
อเล็กซ์ กล่าวว่า โฟกัสทางธุรกิจหลักของเรามี 3 อย่างในตอนนี้คือ
- ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเรามีแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างน้อย 1-2 รุ่น ต่อปี หลังจากนี้ และในช่วงเริ่มต้นเรามีผลิตภัณฑ์ใหม่ลงสู่ตลาดในครั้งแรกอย่างน้อย 2 รุ่น
- สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ให้ผู้บริโภคซึ่งสอดคล้องกับสโลแกนของบริษัท ดังนั้นเองแนวทางดังกล่าวจะต้องสร้างประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับทั้งด้านการขับขี่และด้านความพึงพอใจในด้านการบริการทุกด้าน
- เชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคด้าน การขาย, การตลาด และ การบริการหลังการขาย ซึ่งจะมีการแชร์ข้อมูลต่าง ๆ อาทิ โฆษณา, การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ และ กลยุทธ์ทางการตลาด ในตลาดต่าง ๆ ของภูมิภาคอาเซียน
“เราจะทำการสร้างประสบการณ์ที่ดีในทุกด้านให้เห็นชัดต่อผู้บริโภคภายในปี 2567 นี้ และนอกจากนั้นจะมีการตั้งศูนย์ฝึกอบรมทีมช่างผู้เชียวชาญให้ประเทศไทยเป็นทีมซัพพอร์ตสำหรับในการเข้าจัดการปัญหาเพื่อลดระยะเวลาการรอแก้ไขปัญหาหากเกิดขึ้นของทุกตลาดในภูมิภาค รวมถึงจะมีการจัดตั้งคลังจัดเก็บอะไหล่ (Part Distribution Center) เพื่อจัดเก็บสต๊อกอะไหล่ ไว้เป็นส่วนกลาง ลดระยเวลาการรออะไหล่ให้ผู้บริโภค อีกทั้งการตั้งศูนย์ฝึกอบรบช่างผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมแบตเตอรี่ในประเทศไทยอีกด้วย”
วางตำแหน่งของแบรนด์อย่างไร ? คู่แข่งเป็นใคร ?
สำหรับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของ ซีคเกอร์ เราจะเป็นแบรนด์พรีเมี่ยมจีน แบรนด์แรกในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาในประเทศไทยยังไม่มีแบรนด์พรีเมี่ยมสัญชาติจีนอย่างแท้จริง จะมีก็เพียงแต่ ผลิตภัณฑ์ (Product) ที่เป็นพรีเมี่ยมจีน เท่านั้น โดยเราวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ไว้เป็นคู่แข่งขันกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz), บีเอ็มดับเบิลยู (BMW) และ เทสลา (TESLA) ซึ่งในเป็นคู่แข่งเดียวกันทั่วโลก
ทั้งนี้ แม้ว่า ZEEKR จะมีประวัติแบรนด์มาเพียง 3 ปีเท่านั้น ซึ่งคงจะยากที่จะเล่าประวัติความเป็นมาในระดับพรีเมี่ยมอย่างแบรนด์คู่แข่งที่อยู่มานานเป็นร้อยปี แต่เราจะต้องทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงความพรีเมี่ยมผ่านประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับและจะต้องรักษาไว้ให้มีความยั่งยืนอย่างแบรนด์ที่อยู่มานาน ด้วยหลัก 4P 1.Price 2.Place 3.Produce และ 4.People
ตั้งเป้าผลการดำเนินงานในประเทศไทยอย่างไร ?
อเล็กซ์ กล่าวว่า บริษัทแม่ประเทศจีนมีควาคาดหวังต่อประเทศไทยว่าจะเป็นตลาดหลักในการเปิดตัวรถยนต์พวงมาลัยขวาแห่งแรกของโลก และน่าจะเป็นอันดับ 1 ด้านยอดขายในตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาของเรา รวมถึงภายในปี 2567 เราคาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่หลักพันคัน
ขณะที่ ศูนย์จำหน่ายและบริการของซีคเกอร์ในประเทศไทย จะมีจำนวน 20 โชว์รูม ภายในปี 2567 โดยเน้นตลาดในต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่และในกรุงเทพฯ เพื่อให้ครอบคลุมด้านการขายและบริการทั่วประเทศ
“เรายืนยันว่า เราจะไม่เล่นสงครามราคา โดยเราจะตั้งราคาจำหน่ายให้ถูกต้องเหมาะสมกับตัวรถ และจะไม่มีการปรับราคาลงที่อาจจะมีผลต่อความรู้สึกของผู้บริโภค”