Toyota Aygo คือน้องเล็กของค่ายที่สำหรับตลาดยุโรป โดยถือกำเนิดในปี 2005 และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จนกวาดยอดขายไปได้กว่า 287,000 คัน ในปี 2022 เพียงปีเดียว ต่อมามีการขยาย line-up มายังตลาด Crossover ในชื่อ Toyota Aygo X และเสริมขุมพลัง Hybrid โดยถือเป็นครั้งแรกของค่ายที่มีขุมพลัง Full Hybrid ในรถยนต์กลุ่ม A-Segment และครั้งแรกในรถยนต์ระดับเดียวกัน พร้อมชูจุดขายว่าเป็นรถยนต์ที่ไม่รองรับ plug-in แต่มีอัตราการสร้างมลพิษต่ำสุดด้วยตัวเลขปล่อย CO2 ในอัตรา 86 กรัม/กิโลเมตร
Toyota Aygo X Hybrid เปลี่ยนไฟหน้า กระจังหน้า และฝากระโปรงหน้าใหม่ เพื่อให้ดูเข้มมากขึ้น ช่วยให้รถดูเตี้ยติดพื้นกว่าเดิม ล้อมีขนาด 17 – 18 นิ้ว ติดตั้งตั้งโป่งล้อสีดำ สีตัวถังมีทางเลือกสี two-tone ตัดหลังคาและฝาท้ายด้วยสีดำ เสริมด้วยทางเลือกสีตัวถัง น้ำตาล Cinnamon, เงิน Jasmine, เทานม Taragon และ ม่วง Lavandula ห้องโดยสารเงียบขึ้น ด้วยการเสริมวัสดุซับเสียงทั้งแชดบอร์ด, ฝากระโปรง, ใต้ตัวถัง และจุดอื่นรอบคัน รวมถึงปรับแต่งท่อไอเสียใหม่ให้เก็บเสียงดีกว่าเดิม และเปลี่ยนไปใช้กระจกหน้าต่างที่หนาขึ้น
Toyota Aygo X Hybrid รองรับผู้โดยสาร 4 ที่นั่ง มีตำแหน่งนั่งสูงให้วิสัยทัศน์ดี ทั้งยังมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระ 231 ลิตร ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานมีทั้งมาตรวัดดิจิตอล 7 นิ้ว, ช่องชาร์จ USB-C 2 จุดพร้อมแท่นชาร์จไร้สาย, กุญแจดิจิตอล และระบบกรองอากาศ nanoeX ส่วนขุมพลังระบุว่าเป็นแบบ Full Hybrid พละกำลังรวมสูงสุด 116 แรงม้า เพิ่มจากขุมพลังปกติขึ้นมาอีก 44 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 10 วินาที
Toyota Aygo X Hybrid สร้างขึ้นบนงานวิศวกรรม GA-B ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ TNGA เอื้อให้มีการติดตั้งแบตเตอรี่ในตำแหน่งที่ต่ำลง ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงและยังขับขี่คล่องตัว ด้วยรัศมีวงเลี้ยวแคบ 4.7 เมตร ส่วนระยะ Overhang หน้าขยายออกมา 76 มิลลิเมตร เพื่อให้รองรับขุมพลัง Hybrid ที่กินพื้นที่กว่า ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มีแพคเกจ Toyota Safety Sense รวมถึงลดความเร็วโดยอัตโนมัติเมื่อเสี่ยงชน รวมถึงระบบหยุดรถยนต์ในอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังเป็นครั้งแรกของ Toyota Aygo X ที่ TSS รองรับการอัพเดทแบบ over-the-air
Toyota Aygo X Hybrid ยังมีรุ่นย่อย GR SPORT ให้เลือกเป็นครั้งแรกอีกด้วย โดยจะเสริมกระจังหน้าลายรังผึ้งพร้อมล้อลายเฉพาะรุ่น โดดเด่นด้วยตัวถังกับสีพิเศษอย่าง สีเหลือง Mustard ตัดกับฝากระโปรงสีดำ ห้องโดยสารตัดด้วยสีดำและสีเทาพร้อมปักโลโก้ GR ในด้านการขับขี่ปรับแต่งพิเศษเช่นกัน ด้วยการเปลี่ยนโช๊คอัพและสปริงใหม่ ให้การควบคุมที่ดีกว่าและลดการโยนตัว พร้อมปรับแต่งอัตราทดพวงมาลัยให้ตอบสนองไวขึ้น สำหรับกำหนดการออกจำหน่ายในยุโรป จะเริ่มขึ้นภายในสิ้นปี 2025
ที่มา: Toyota
