

Rivian จากสหรัฐฯ ได้เสริมทัพรถยนต์ของตนแล้วกับ R2 ในตัวถัง SUV 5 ประตู เหมือน R1 แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยเอาใจผู้ที่ชื่อบการผจญภัย เพราะเน้นประโยชน์ใช้สอยในทุกจุด ส่วนขุมพลังเป็น EV ด้านมิติตัวถังมีรายละเอียดดังนี้
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,714 x 2,143 x 1,699 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ : 2,936 มิลลิเมตร
ดีไซน์ของ Rivian R2 คงองค์ประกอบเด่นของค่ายเอาไว้ ทั้งโคมไฟหน้าหลักแนวตั้ง ตัดด้วยแถบไฟ LED แนวนอนด้านบน รวมถึงตัวถังทรงกล่อง ชายล่างตัวถังตัดดำทั้งหมดรวมถึงเสาหลังคาให้ดู floating roof ฝากระโปรงหน้ายังเปิดได้ทั้งบาน โดยด้านในมีช่องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ท้ายรถยังมีจุดยึด Bike Mount system ซึ่งสามารถติดตั้งอุปกรณ์ยึดจักรยานได้ในไม่กี่นาที และไม่ต้องใช้เครื่องมือด้วย




Rivian R2 รองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง การออกแบบค่อนข้างเรียบง่ายและเน้นประโยชน์ใช้สอย ด้วยเบาะพับเรียบได้ทั้งคัน, ช่องเก็บของรอบคัน, เก๊ะเก็บของแบบคู่ วัสดุเน้นความทนทานด้วย ส่วนระบบแสดงผลมีทั้งมาตรวัดและหน้าจอสัมผัสกลางแดชบอร์ด เมื่อเปิดประตูออกยังมี Rivian Torch หรือไฟฉายพกพาเก็บไว้ด้านข้าง หากต้องการรับลมภายนอก ยังสามารถเปิดกระจกฝาท้ายได้ทั้งหมด และแง้มเปิดกระจกแถวที่ 3 ได้ด้วย
ขุมพลังของ Rivian R2 เป็นระบบไฟฟ้า EV เบื้องต้น มีการเปิดเผยว่าจะมีให้เลือกทั้ง มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง, มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ และ มอเตอร์สามตัว (ติดตั้งด้านหน้าหนึ่งและด้านหลังสอง) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ในรุ่นแรงสุด ทำอัตราเร่ง 0 – 96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3 วินาที แบตเตอรี่เป็นแบบใหม่มีจำนวนเซลส์ 4,695 เซลส์ ขับขี่ได้ไกลสุดเป็นระยะทางมากกว่า 480 กิโลเมตร



การชาร์จใช้หัวชาร์จแบบ NACS และใช้ adaptor แปลงของ CCS ได้ สามารถชาร์จแบบ DC จาก 10 – 80%ภายในเวลาน้อยกว่า 30 นาที โครงสร้างที่ Rivian R2 ใช้เป็นแบบ all-new midsize vehicle platform ด้านระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ทำงานร่วมกับกล้อง 11 ตัว, เรดาร์ 5 จุด และหน่วยควบคุมขั้นสูง ด้านความสามารถในการลุยมี ground clearance สูง 248 มิลลิเมตร ทำมุมไต่ได้ 25 องศา และทำมุมจากได้ 27 องศา
Rivian R2 จะผลิตขึ้นที่โรงงาน Normal ตั้งอยู่ในรัฐ Illinois สหรัฐฯ คาดว่าจะเริ่มขึ้นในครึ่งแรกของปี 2026 ผู้สนใจสามารถวางเงินจองได้แล้ววันนี้ โดยสามารถขอคืนภายหลังได้ในมูลค่า 100 USD (ราว 3,500 บาท) ส่วนราคาจำหน่ายเริ่มต้นในสหรัฐฯ โดยที่ยังไม่รวมภาษีนำเข้าของประเทศไทย คาดว่าอยู่ที่ 45,000 USD (ราว 1,591,000 บาท)











