

ภายนอกของ Kia K4 มากับอัตลักษณ์ Opposites United โดดเด่นด้วยดีไซน์ด้านหลังแบบ Fastback แปลกตาด้วยไฟหน้าและไฟท้ายทรงไม่ซ้ำใคร เน้นความสปอร์ตเต็มขั้นในรุ่น GT-Line ขึ้นไป ที่มีกันชนหน้าหลังเฉพาะรุ่น พร้อมตกแต่งด้วยสีดำเงา, คาดแถบโครเมี่ยม Satin, ไฟหน้าแบบ Small Cube LED, ไฟตัดหมอก LED และล้อขนาด 18 นิ้ว ส่วนมือเปิดประตูด้านหลังเป็นแบบซ่อน




ห้องโดยสารของ Kia K4 จะแตกต่างกันไป โดยในรุ่น LX/LXS/EX จะมาในสีเทา Medium Grey ส่วนสีเขียว Slate Green สงวนไว้ให้รุ่น EX และรุ่น GT-Line ขึ้นไปจะมีสีดำ Onyx ตัดสีขาว Off-White รุ่นท็อปยังมาพร้อมกับพวงมาลัยเฉพาะรุ่น พร้อมเบาะปรับอุณหภูมิทั้งอุ่นและเย็นได้ รวมถึงระบบจดจำตำแหน่ง ระบบแสดงผลตระการตาด้วยหน้าจอขนาดเฉียด 30 นิ้ว ครั้งแรกของรถยนต์ในกลุ่ม Compact Sedan รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ไร้สาย และ Android Auto ทั้งยังมีเครื่องเสียง Harman Kardon และ Kia Digital Key
ขุมพลังของ Kia K4 มีเครื่องยนต์เบนซินให้เลือกสองแบบ ประกอบด้วย
- แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 147 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 179 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ IVT ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า
- แบบ 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 264 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า



ในรุ่นย่อย GT Line ขึ้นไป เปลี่ยนไปใช้ช่วงล่างหลังแบบ multi-link เพื่อการขับขี่ที่สปอร์ตกว่า แม้จะเน้นความสปอร์ต แต่ยังมีการให้ความสำคัญกับความเงียบในห้องโดยสาร โดย Kia K4 เปลี่ยนมาใช้กระจังบานหน้าแบบ acoustic พร้อมติดตั้งยาง acoustic ในรุ่นที่ใส่ล้อ 18 นิ้ว สำหรับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มีมากถึง 29 รายการด้วยกัน ส่วนถุงลมนิรภัย Kia K4 ให้มา 8 จุด รวมถึงถุงลมนิรภัยด้านข้างที่ยาวถึงด้านหลัง
Kia K4 จะมีให้เลือกด้วยกัน 5 รุ่นย่อย ประกอบด้วย LX, LXS, EX, GT-Line และ GT-Line Turbo ส่วนกำหนดการออกขายที่สหรัฐฯ จะมีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 และจะมีการประกาศราคาและรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง เมื่อใกล้ถึงกำหนดออกจำหน่าย ทุกคันจะม่พร้อมกับการรับประกันคุณภาพนาน 10 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร
ที่มา: Kia







