ค่ายม้าพยศเปิดตัว Ferrari Roma เป็นครั้งแรกในปี 2019 โดยวางตัวไว้เป็นรุ่นเริ่มต้นของค่าย ก่อนที่จะยุติการผลิตไปในปีที่ผ่านมา แต่เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ได้มีการเปิดตัว Ferrari Amalfi เพื่อมาแทนที่ Roma โดยถือว่าเป็นเวอร์ชั่น Facelift ของ Roma ที่ปรับแต่งใหม่ทั้งดีไซน์ภายนอก, ภายใน และงานวิศวกรรม ให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้น ส่วนรายละเอียดมิติตัวถัง มีดังนี้
- ยาว : 4,660 มิลลิเมตร
- กว้าง : 1,974 มิลลิเมตร
- สูง : 1,301 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ : 2,670 มิลลิเมตร
Ferrari Amalfi มาในตัวถัง Coupé หลังคาแข็ง พร้อมพลิกดีไซน์ด้านหน้าใหม่จาก Roma โดยมีไฟหน้าทรงเพรียว เชื่อมต่อกันผ่านแถบสีดำ ส่วนกันชนหน้ามีช่องดักลมขนาดใหญ่แนวตั้ง เสริมมิติด้านล่างด้วยลิ้นหน้าทรงกวาด รับกับสเกิร์ตข้างสีดำที่เล่นระดับแบบเดียวกัน ด้านท้ายยังคงติดป้ายทะเบียนไว้ในกันชนหลัง พร้อมกับพลิกดีไซน์ไฟท้ายรวมถึงดิฟฟิวเซอร์ใหม่ ปิดท้ายด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว ด้านหน้ารัดด้วยยางขนาด 245/35 ส่วนด้านหลังเป็น 285/35 ทั้งยังเลือกยางระหว่าง Bridgestone Potenza Sport หรือ Pirelli P ZERO
Ferrari Amalfi มีห้องโดยสารแบบ 2+ หรือมีเบาะหลัง จึงตอบโจทย์เรื่องอรรถประโยชน์ แดชบอร์ดและคอลโซลกลางพลิกดีไซน์ใหม่ กั้นผู้ขับขี่และผู้โดยสารจากกันเป็นสัดส่วน ระบบแสดงผลมีทั้งมาตรวัดขนาด 15.6 นิ้ว, หน้าจอสัมผัสกลางขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอฝั่งผู้โดยสารขนาด 8.8 นิ้ว ซึ่งแสดงค่าเกี่ยวกับการขับขี่ได้ พวงมาลัยเปลี่ยนใหม่ทั้งยังกลับไปใช้ปุ่มกดจริง และมีปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์จากอะลูมิเนียม เบาะคู่หน้ามีระบบนวด และมีระบบเป่าลมด้วย เครื่องเสียงสามารถติดตั้งเพิ่มของ Burmester ซึ่งมาพร้อม 14 ลำโพง
ขุมพลังของ Ferrari Amalfi เป็นเครื่องยนต์เบนซินวางหน้ามาทางกลาง แบบ V8 ขนาด 3,855 ซีซี. เทอร์โบคู่ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 86.5 x 82 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.4 : 1 กำลังสูงสุด 640 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ที่ 3,000 – 5,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ F1 DCT 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า มีตัวเลขสมรรถนะดังต่อไปนี้
- ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.3 วินาที
- ทำอัตราเร่ง 0 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 9.0 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Ferrari Amalfi มีการกระจายน้ำหนักหน้า:หลัง ในสัดส่วน 50:50 ส่วนน้ำหนักตัวเปล่าอยู่ที่ 1,470 กิโลกรัม ระบบเบรกเป็นแบบ brake-by-wire ขนาดจานเบรกด้านหน้าอยู่ที่ 390 มิลลิเมตร ด้านหลังอยู่ที่ 360 มิลลิเมตร ทั้งยังมีเทคโนโลยี ABS Evo ที่ปรับแต่งการทำงานตามสภาพถนน และรูปแบบการขับขี่ Manettino ทุกรูปแบบ ส่วนพวงมาลัยไฟฟ้าปรับแต่งใหม่ ให้ตอบสนองได้ไวขึ้นกว่าเดิม 10% แม้บนถนนที่มีแรงเสียดทานต่ำ ด้านระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ มีระบบลดความเร็วโดยอัตโนมัติเมื่อเสี่ยงชน และยังมีกล้องมองภาพรอบคัน
ที่มา: Ferrari
