SAIC-Audi ได้เปิดตัว AUDI E5 Sportback อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2025 ซึ่งพัฒนาขึ้นระหว่าง SAIC และ Audi เพื่อจำหน่ายในจีนเท่านั้น ภายใต้แบรนด์ย่อย AUDI โดยการผลิตจะมีขึ้นที่โรงงาน SAIC Audi Smart Manufacturing Base สำหรับรายละเอียดตัวรถ เริ่มต้นกับมิติตัวถังกันก่อน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- ยาว 4,881 มิลลิเมตร
- กว้าง 1,960 มิลลิเมตร
- สูง 1,479 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,950 มิลลิเมตร
ภายนอกของ AUDI E5 Sportback ได้อิทธิพลมาจากรถยนต์ต้นแบบ Audi E Concept ทั้งยังมีเอกลักษณ์ของ Audi TT รุ่นแรกด้วยการใช้ซุ้มล้อโค้งมน ไฟหน้าและไฟท้ายมาในรูปทรงวงแหวนทรงรี ประกอบด้วยไฟ LED 942 จุด ทั้งยังมีช่อง micro laser ที่ส่องแสงออกมารอบโคมไฟเป็นจำนวนช่องกว่า 2,000 จุด เส้นสายตัวถังด้านข้างเรียบง่าย และใช้กล้องแทนกระจกมองข้าง โดยมีทั้งในตำแหน่งกระจกมองข้างปกติ และติดเพิ่มบริเวณแก้มคู่หน้า ช่วงท้ายลาดลงในสไตล์ Sportback
ภายในของ AUDI E5 Sportback มีหน้าจอแสดงผลความละเอียด 4K ประกอบด้วย มาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว, หน้าจอสัมผัสกลางขนาด 27 นิ้ว และ หน้าจอฝั่งผู้โดยสารหน้า ทั้งยังมีจอแสดงภาพจากกล้องมองข้าง สองฝั่งขนาดจอละ 7 นิ้ว การสั่งการทำได้ทั้งผ่านการสัมผัสและเสียงด้วยผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ Audi Smart Assistant เครื่องเสียงใช้ลำโพง Bose Verna 18 จุดพร้อมลำโพงฝังพนังพิงศีรษะ ส่วนแท่นชาร์จไร้สายมีกำลังไฟ 50 วัตต์
AUDI E5 Sportback สร้างขึ้นบนงานวิศวกรรมรองรับไฟฟ้า 800 โวลต์ รองรับการชาร์จ DC ที่ใช้เวลาชาร์จ 10 นาที เพื่อให้ขับขี่ไปได้อีก 370 กิโลเมตร ในรุ่นเริ่มต้นมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบ LFP ขนาด 76 kWh ขับขี่ได้ไกลสุดเป็นระยะทาง 618 กิโลเมตร ส่วนรุ่นย่อยอื่นมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 83 kWh และ 100 kWh ขับขี่ได้ไกลสุดเป็นระยะทาง 623, 773 และ 647 กิโลเมตร ส่วนสมรรถนะมีให้เลือกทั้งรุ่นมอเตอร์เดี่ยวและมอเตอร์คู่
- มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนสองล้อ มีสองระดับความแรง กำลังสูงสุด 299 / 408 แรงม้า เร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.1 / 5.0 วินาที
- มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro มีสองระดับความแรง กำลังรวมสูงสุด 525 / 787 แรงม้า เร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.9 / 3.4 วินาที
AUDI E5 Sportback มีระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ พร้อมช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Wishbone ด้านหลังเป็นแบบ 5-Link ด้านระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ใช้เทคโนโลยี Momenta EBM ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ LiDAR ระยะไกลติดตั้งบนหลังคา, เรดาร์คลื่นความถี่ยาว 3 จุด, Ultrasonic 12 จุด และ กล้อง 11 จุด ประมวลผลโดยชิพ Orin-X รองรับการขับขี่กึ่งอัตโนมัติทั้งในเมืองและนอกเมือง พร้อมระบบช่วยจอด ส่วนรุ่นย่อยมีให้เลือก 4 รุ่น สนนราคาจำหน่ายในประเทศจีนระหว่าง 235,900 – 319,900 หยวน (ราว 1,056,000 – 1,433,000 บาท)
ที่มา: autohome, carnewschina