นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ ของภาพรวมตลาดภายในประเทศไทยเดือนสิงหาคม 2568 มีจำนวนอยู่ที่ 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายเติบโตมาจาก รถยนต์ไฟฟ้า 100% (EV) มียอดขายสูงสุด 9,246 คัน หรือเพิ่มขึ้น 26.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนยอดขายในกลุ่มรถกระบะอยู่ที่ 10,960 คัน ลดลง 10.9% ซึ่งลดลงต่อเนื่องกว่า 2 ปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ
สำหรับยอดขายรถยนต์นั่ง มีจำนวน 30,797 คัน หรือคิดเป็น 64.6% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
- รถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มียอดขายอยู่ที่ 9,611 คัน หรือคิดเป็น 20.1% ของยอดขายทั้งหมด ลดลง 18.1% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
- รถยนต์นั่งพลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) มียอดขายอยู่ที่ 9,246 คัน หรือคิดเป็น 19.4% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 26.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
- รถยนต์นั่งพลังงานไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) มียอดขายอยู่ที่ 465 คัน หรือคิดเป็น 0.98% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 400% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
- รถยนต์นั่ง REEV (Range-Extended Electric Vehicle) มียอดขายอยู่ที่ 244 คัน หรือคิดเป็น 0.51% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 100% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
- รถยนต์นั่งพลังงานไฟฟ้าผสม (HEV) มียอดขายอยู่ที่ 11,231 คัน หรือคิดเป็น 23.58% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 30.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
ส่วนรถกระบะ มียอดขายอยู่ที่ 10,960 คัน ลดลง 10.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมี รถกระบะไฟฟ้า (BEV) จำนวน 63 คัน และ รถยนต์อเนกประสงค์ (PPV) มียอดขายอยู่ที่ 3,576 คัน เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
ขณะที่ ยอดขายรถยนต์ สะสม 8 เดือน (มกราคม – สิงหาคม) ของปี 2568 มียอดขายรถยนต์สะสมอยู่ที่ 399,619 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 256,669 คัน หรือคิดเป็น 64.2% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
- รถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มียอดขายอยู่ที่ 88,222 คัน หรือคิดเป็น 22% ของยอดขายทั้งหมด ลดลง 16.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
- รถยนต์นั่งพลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) มียอดขายอยู่ที่ 72,274 คัน หรือคิดเป็น 18% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 51.69% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
- รถยนต์นั่งพลังงานไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) มียอดขายอยู่ที่ 6,136 คัน หรือคิดเป็น 1.5% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 321% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
- รถยนต์นั่ง REEV (Range-Extended Electric Vehicle) มียอดขายอยู่ที่ 431คัน หรือคิดเป็น 0.14% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 100% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
- รถยนต์นั่งพลังงานไฟฟ้าผสม (HEV) มียอดขายอยู่ที่ 89,606 คัน หรือคิดเป็น 22% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
ด้านยอดขายรถกระบะสะสมอยู่ที่ 95,560 คัน ลดลง 16.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีรถกระบะไฟฟ้า (BEV) จำนวน 486 คัน และ รถกระบะ REEV จำนวน 6 คัน ส่วนร รถยนต์อเนกประสงค์ (PPV) มียอดขายอยู่ที่ 28,110 คัน เพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ขอเสนอการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อรัฐบาลใหม่ของ นาย อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ที่ได้แสดงความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมากขึ้น ข้อเสนอนี้เป็นของ กกร. ปีที่แล้วที่เสนอรัฐบาลตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุนโดยจ่ายผลขาดทุนตามจริงแต่ไม่เกินคันละ 50,000 บาทให้กับสถาบันการเงินโดยมีข้อแลกเปลี่ยนหรือเงื่อนไขว่า สถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ให้มียอดขายรถกระบะมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30% ตัวอย่างสมมติปีที่แล้วขายรถกระบะ 130,000 คัน ถ้าขายมากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 30% ปีนี้ต้องปล่อยสินเชื่อให้ขายรถกระบะให้ได้ 170,000 คัน ที่เพิ่มขึ้น 40,000 คันนี้
รัฐบาลจะค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถคันละไม่เกิน 50,000 บาท จึงตั้งกองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากรถยึดรถกระบะเพียง 2,000 ล้านบาท (40,000คัน × 50,000 บาทค่อคัน) แต่รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตรถกระบะ 3% × 24,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท (ถ้าเฉลี่ยรถกระบะคันละ 600,000 บาท x 40,000 คันที่เพิ่มขึ้น)
เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของยอด 24,000 ล้านบาท ได้เงิน 1,680 ล้านบาท รวมเก็บภาษีสองประเภทนี้“เพิ่มขึ้น 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท และยังเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ซัพพลายเชนขายได้มากขึ้น กำไรสุทธิมากขึ้น เช่นบริษัทผลิตยางล้อรถยนต์ขายยางล้อได้มากขึ้น 160,000 เส้น กระจกขายได้มากขึ้น 40,000 แผ่น เครื่องปรับอากาศรถยนต์ขายมากขึ้น 40,000 เครื่อง บริษัทขายท่อไอเสียมากขึ้น 40,000 ชิ้นฯลฯและยังเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นจากรายได้พนักงานสถาบันการเงินบริษัทประกันภัยและพนักงานขายรถกระบะรวมทั้งคนงานทำงานในบริษัทซัพพลายเชนที่มีรายได้เพื่มขึ้นทำให้กลุ่มบริษัทลงทุนเพิ่มจ้างงานเพิ่ม
คนงานเหล่านี้มีรายได้มากขึ้นชำระหนี้ได้มากขึ้น (หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง) ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศและในประเทศลงทุนมากขึ้นและเร็วขึ้น ผลิตสินค้าส่งออกมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตเป็นวงจรขาขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเสียที ส่วนเงินกองทุน 2,000 หรือ 5,000 ล้านบาทขึ้นกับเป้าหมายที่จะให้ขายรถกระบะเพิ่มขึ้นกี่หมื่นคันในแต่ละปี ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายในอีกสองปีข้างหน้าเมื่อยึดรถกระบะมาแล้วและประมูลขายขาดทุนแล้วเท่านั้น