คอนเทนต์นี้ Autolifethailand.tv พาคุณผู้ชมทุกท่านไปลองขับรถกระบะที่มีเครื่องยนต์แรงที่สุดของ ฟอร์ด (Ford) ในเวลานี้ อย่างเจ้า Ford Ranger Wildtrak V6 3.0 Desel ซึ่งรูปแบบการทดสอบในครั้งนี้ เราอาจจะไม่ได้พาทุกท่านไปบุกป่าฝ่าดงแต่อย่างใด โดยจะเป็นลักษณะการใช้ในเมืองเป็นหลัก
ถามว่า อ้าว ! แล้วใช้ในเมืองเป็นหลักกับรถกระบะแบบนี้จะเห็นสมรรถนะการใช้งานได้อย่างไรหรือ !?! ผมจะตอบแบบนี้ครับว่า ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ผู้ที่ซื้อรถกระบะราคา 1.5 ล้านบาท ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่ต้องการใช้ ในไร่ ในสวน หรือ ใช้เดินทางข้ามจังหวัดจริง ๆ ก็จะเป็นผู้ที่ใช้เป็นรถแนวไลฟ์สไตล์ กล่าวคือ จะเป็นคนจำพวกที่ว่ามีรถที่บ้านหลายคันแล้วอยากมีรถกระบะพรีเมี่ยมติดโรงจอดรถไว้ แต่ก็อาจจะไม่ได้อยากได้แบบ Ford Ranger Raptop ที่ไปสุดกราฟขนาดนั้น ก็เลยเอาแบบแค่พอมีรถประเภทอื่นที่ที่ไมใช่ รถยนต์นั่ง หรือ รถซูเปอร์คาร์ ติดบ้านไว้บ้าง
เมื่อเป็นเช่นนั้นโจทย์ในการลองครั้งนี้ ของ Ford Ranger Wildtrak V6 3.0 Desel จึงเป็นแบบนี้ โดยรายละเอียดหรือ สเป็ค อาจจะไม่ได้เจาะลึกในคอนเทนต์นี้เพื่อความกระชับและอ่านง่ายของทุกคน โดยจะขออนุญาตแนบลิงค์รายละเอียดข้อมูลของรถคันนี้ไว้ตาม Link : ราคาอย่างเป็นทางการ Ford Ranger Wildtrak V6 3.0 Diesel : 1,519,000 บาท | 250 แรงม้า ขับ4 Full-Time
เริ่มกันที่หน้าตาภายนอกกันก่อน ส่วนตัวรู้สึกมองแล้วแทบจะไม่เห็นความแตกต่างโดยรวมของการออกแบบดีไซน์เมื่อเทียบกับรุ่น Ford Ranger Wildtrak ซึ่งสิ่งที่ต้องมองถึงจะรู้ว่าเป็น V6 3.0 Diesel คือ โลโก้ V6 ที่ซุ้มล้อด้านข้างตัวรถ และล้อลายใหม่และขนาดใหญ่ขึ้น เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็แทบจะไม่ต่างเลย ก็ถ้าถามว่าคนที่จะจ่ายเพิ่มเกือบ ๆ 2 แสนบาท แต่หน้าตาไม่แตกต่าง ถ้าใครไม่ติดก็ไม่เป็นไรแต่ผมว่ามันอาจจะต้องต่างให้พอรู้สึกคุ้มที่จ่ายแพงกว่าคนอื่นสักหน่อย แต่คือพื้นฐานของรถกระบะ ฟอร์ด สวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็มีแต้มต่อเมื่อเทียบกับคู่แข่งหน่อย
เมื่อพูดถึง สิ่งที่ชอบ ของดีไซน์ภายนอกก็คือ ความหล่อสำเร็จจากโรงงาน มีบันไดข้าง, ราวหลังคา, ราวขอบกระบะ มาให้ครบถ้วนเลย แถมช่วงเวลากลางคืนยังมีระบบไฟส่องสว่างลงพื้น เหมือนกับพวกรถยุโรปมาให้ด้วย ส่วนที่กระบะท้ายก็มีไฟส่องกระบะท้าย มองเห็นของในเวลากลางคืนได้อีกด้วย ชอบ ๆ รวมถึงปลั๊กไฟบ้านและช่องพาวเวอร์เอ้าท์เล็ต
ภายในห้องโดยสาร ก็เรียบหรู มีจอกลางขนาดใหญ่ 12.0 นิ้ว ส่วนนี้เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนเหมือนเราเล่น Tablet หน้าจอใหญ่ ๆ อันนึง สะดวกดีนะที่สำคัญกล้องรอบคันแสดงผลชัด มาก มากมาก เลยล่ะ ซึ่งก็ยังรองรับ Apple Car Play และ Android Auto แบบไร้สายด้วย ที่ชอบอีกจุดนึงคือ มีช่องเสียบปลั๊กไฟบ้านขนาด 230 โวลท์ มาไว้ไว้ตรงใต้ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ส่วนตรงมาตรวัดด้านหนัาผู้ขับขี่ เป็นแบบ Full Digital ขนาด 8.0 นิ้ว สวยงามดี สามารถเรียกดูข้อมูลต่าง ๆ ของตัวรถ ได้จาก พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เลย ทัศนวิสัยการมองเห็นในตำแหน่งผู้ขับขี่ ชัดเจนทุกมุมมอง มองผ่านกระจกหน้าเห็นทั้งฝากระโปรงกะมุมเลี้ยวได้ กระจกมองข้างใหญ่เห็นเต็มคัน
มาเข้าเรื่องฟีลลิ่งการขับขี่บ้าง อย่างที่บอกในตอนต้นคือ เป็นการขับขี่ในเมืองล้วน ๆ เลย ความเร็วสูงสุดที่ทำก็คือตอนขึ้นทางด่วน กับเร่งผ่านไฟแดง เท่านั้น ที่เหลือก็ใช้ความเร็วในเมืองตามปกติ 50-60 กม./ชม. คือต้องบอกว่าขุมพลัง V6 ดีเซล มันเหลือมาก ๆ คือต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้กดคันเร่งเกิน เพราะในเมืองส่วนใหญ่ก็รถติด ก็มีหลายทีตั้งใจจะกดนิดเดียวแต่ก็มาล้นเกินจนต้องแตะเบรกช่วย เหมือนกับพอเทอร์โบมันทำงานแล้วส่งพลังออกมากลายเป็นเกินกับความเร็วที่เราต้องการฉะนั้นต้องระวังหน่อยเวลาขับขี่ในเมือง
สิ่งที่ชอบคือเสียงภายในห้องโดยสารเงียบมาก และ ความนิ่งของเครื่องยนต์ดี ทำงานในรอบความเร็วต่ำเนียนมาก ๆ ส่วนอัตราทดเกียร์ 10 สปีด อันนี้ทำงานไหลลื่นดี แต่เสียดายที่ไม่มีปุ่มเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย (Paddle Shift) มีแต่ปุ่มเปลี่ยนเกียร์ที่บริเวณหัวเกียร์ +/- ซึ่งส่วนตัวว่า พอรุ่นนี้เป็นเกียร์ไฟฟ้า (E-Shifter) หัวเกียร์มีขนาดกระทัดรัดและอยู่ในระดับต่ำเกินไปที่จะใช้งานในการกดปุ่มเปลี่ยนเกียร์ที่หัวเกียร์
พูดถึงความใหญ่ตัวรถคันนี้มีขนาดใหญ่โตจริง พอวิ่งในเมืองก็เต็มช่องทางการจราจรพอดี แต่เวลาเข้าซอยแคบ ๆ อันนี้ก็ออกแนวระแวงหน่อยต้องมองรอบคันบ่อย ๆ โดยเฉพาะถนนที่เป็น 2 เลนสวน มีวันหนึ่งขับไปงานที่ EmSphere แล้ววิ่งเข้าทางซอยสุขุมวิท 31 แถว ๆ ซอยสวัสดี ถามว่าวิ่งสะดวกไหม ก็ไม่ได้ถึงกับลำบาก แต่ต้องกะระยะให้ดีมาก ๆ วงเลี้ยวกว้างเลี้ยวทีกินเลนชาวบ้านพอสมควร ต้องเผื่อมากหน่อยเวลาเลี้ยวรวมถึงเวลากลับรถ ถ้าไม่ตีวงกว้างก็อาจจะกลับทีเดียวไม่ผ่าน แต่ดีที่พวงมาลัยน้ำหนักดี ไม่หนักมากเวลาหมุนเลี้ยวง่ายสะดวก อันนี้ถือเป็นข้อดีที่ทดแทนกับความใหญ่โตและวงเลี้ยวของตัวรถ
เวลาขับเข้าห้างสรรพสินค้าความสูงผ่านไม่ต้องห่วง เหมือนจะดูเสียว ๆ ว่าจะหลังคาครูดหรือไม่ ซึ่งก็ไม่นะ แต่ที่ต้องระวังหน่อยคือความยาวเวลาถอยเข้าช่องจอด กับระยะความห่างด้านข้างเวลาเข้าช่องจอด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ผมใช้มาแล้วไม่ติดอะไร
ส่วนฟีลลิ่งช่วงล่างต้องบอกเลยว่าไม่แพ้รถยนต์นั่งเลย นุ่มสบาย แต่ไม่ย้วยโคลงเคลง เปรียบเทียบง่าย ๆ เวลากระโดดคอสะพานแล้วจังหวะลงนิ่งไม่กระเด้งกระดอน โอเคเลยล่ะ จะมีนิดหน่อยเวลาใช้ความเร็วแล้วเข้าโค้งอาจจะมีการโคลงตัวอยู่จากความสูงของตัวรถและการเซ็ตอัพช่วงล่างให้มีความนุ่ม แต่โดยรวมชอบเซ็ตอัพช่วงล่างนี้สำหรับการใช้งานในเมือง
สรุปสุดท้าย หน้าตาดีไซน์อาจจะดูไม่โดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Wildtrak ปกติ แต่สิ่งที่จ่ายเพิ่มขึ้นมา ราว ๆ 2 แสนบาท กับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่เนียนมาก ๆ อันนี้โอเคเลย ส่วนการใช้งานในเมืองแม้จะเป็นรถกระคันใหญ่และเครื่องใหญ่แบบนี้ ข้อควรระวังคืออย่ากดคันเร่งหนักเกินไป กับกะยะวงเลี้ยวให้ดี รวมถึง เข้าซอยแคบต้องระวัง ถ้าปรับตัวเข้ากับรถได้ผมว่าส่วนนี้ไม่มีปัญหา
ขณะเดียวกันอัตราสิ้นเปลืองในการขับขี่ตลอดการใช้งานผมทำตัวเลขสิ้นเปลืองได้อยู่ที่ 7-8 กม./ลิตร ด้วยการขับขี่ในสภาพการใช้งานในชีวิตประจำวันจริง ๆ ภายใต้สภาพการจราจรติดขัด รถวิ่ง ๆ หยุด ๆ ขับบนทางด่วน ขับเข้าห้าง และอื่น ๆ คือเรียกได้ว่าทุกสภาพการขับขี่สำหรับคนเมือง กับราคาค่าตัวของ Ford Ranger Wildtrak V6 3.0 Desel ที่อยู่ที่ 1.51 ล้านบาท โอเคอยู่สำหรับคนเหลือ ๆ ที่อยากมีรถกระบะติดบ้านที่มีเครื่องแรง ช่วงล่างขับสบาย แต่ไม่อยากเลยเถิดไป ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์
