ในปี พ.ศ. 2550 (ปี 2007) คณะกรรมการบีโอไอ (BOI) มีนโยบายส่งเสริมให้เกิดโครงการ ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือที่เราทราบกันดีว่า “ อีโค่คาร์ (Eco Car) ” เป็นครั้งแรก ท้ายที่สุดก็มีมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลสมัยนั้นเป็นที่สำเร็จ เริ่มมีผลบังคับใช้ใน พ.ศ. 2552 ( ปี 2009)
เงื่อนไขของโครงการ อีโค่คาร์ สมัยปี 2009 ก็ไม่ง่าย มีทั้งข้อกำหนดด้านรถยนต์ และ การผลิต การลงทุน สมัยนั้น มีค่ายรถที่เข้าร่วมโครงการเพียงแค่ 5 แบรนด์ คือ Nissan, Honda, Suzuki, Mitsubishi และ Toyota แต่แท้จริงแล้ว มีทั้งหมด 7 แบรนด์ แต่ Tata และ Volkswagen ได้ถอนตัวออกไปก่อน
- เครื่องยนต์
- เบนซิน ไม่เกิน 1,300 ซีซี.
- ดีเซล ไม่เกิน 1,400 ซีซี.
- มาตรฐานมลพิษ EURO 4
- ปริมาณการปล่อย CO2 ไม่เกิน 120 g./km.
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ต่ำกว่า 20 km/l (5L/100km.)
นอกจากคุณสมบัติตัวรถแล้ว ยังมีข้อกำหนดด้านการผลิตอีกหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็น
- อัตราเสียภาษีสรรพสามิต 17%
- เงินลงทุน ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
- ปริมาณการผลิต ไม่น้อยกว่า 100,000 คัน/ปี ในปีที่ 5 เป็นต้นไป
- ผลิตชิ้นส่วนอย่างน้อย 4 ใน 5 ชิ้น ได้แก่
- Cylinder Head
- Cylinder Block
- Crankshaft
- Camshaft
- Connection Rod
- ยกเว้นภาษีนิติบุคคล 8 ปี ทุกกรณี
รุ่นแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย คือ Nissan March เปิดตัวครั้งแรก 12 มีนาคม 2010 ณ ขณะนั้นมีให้เลือกมากถึง 6 รุ่นย่อย โดยในช่วงแรกที่เปิดตัว สามารถส่งมอบได้ทันที 2 รุ่นย่อย ที่เป็นเกียร์ธรรมดา
- 1.2 S MT 375,000 บาท
- 1.2 E MT 425,000 บาท
ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT ส่งมอบตามมาในเดือน มิถุนายน 2012
- 1.2 E CVT 459,000 บาท
- 1.2 EL CVT 489,000 บาท
- 1.2 V CVT 507,000 บาท
- 1.2 VL CVT 537,000 บาท
มีการใช้ Presenter เสริมภาพลักษณ์ตัวรถ ด้วย เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ในช่วงเปิดตัวอีกด้วย
เดือน เมษายน 2011 เพิ่มรุ่น Sport Version เปลี่ยนกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ดีไซน์โดย Autech Japan และ เบาะนั่งดีไซน์ใหม่ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย EL / VL Sport Version
ย่างเข้าเดือน มีนาคม 2012 (สังเกตได้ว่ามีอะไรเกี่ยวกับรถรุ่นนี้ จะเกิดขึ้นในเดือน มีนาคม เสมอๆเพื่อให้สมกับชื่อรถ) Nissan ฉลองยอดขาย March 55,000 คัน ภายใน 2 ปี (เฉลี่ยเดือนละ 2,300 กว่าคัน) ด้วยการปรับอุปกรณ์ MY2012 เพิ่มสีตัวถังภายนอก ม่วง Plum Purple และ เพิ่มฟังก์ชั่น การพับเบาะหลัง แยก 60 : 40 มาให้ และ เพิ่มช่องเก็บของที่แดชบอร์ดด้านหน้า
เดือน มีนาคม 2013 มีการเปิดตัวรุ่น Minorchange ตามออกมา ปรับดีไซน์ด้านหน้า และ ไฟท้ายใหม่ รวมไปถึงภายในห้องโดยสาร ที่อัพเกรดวัสดุต่างๆให้ดีขึ้นกว่าเดิม มีให้เลือก 6 รุ่นย่อย เช่นเคย S MT / E MT / E CVT / EL CVT / V CVT / VL CVT เปิดราคา 388,000 – 555,000 บาท
จากนั้นในเดือน สิงหาคม 2014 เพิ่ม สีฟ้า การประปา Capri Blue ตามมาด้วยรุ่น Limited Edition ผลิตจำนวนจำกัด 600 คัน เปลี่ยนกระจังหน้า และ กันชนหน้า คล้ายๆ March Bolero ในเดือน ตุลาคม 2014 มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย 3 สี คือ E MT / E CVT / EL CVT สีขาว White Pearl, สีดำ Black Star และ สีเขียว Spring Green
เดือน กรกฎาคม ปี 2016 Nissan ประเทศไทย ฉลองอีกครั้งด้วยการเคลมตัวเลข ยอดผลิต ECO CAR ในไทย กว่า 500,000 คัน เพื่อจำหน่ายในประเทศ และ ส่งออกไปยัง 13 ประเทศทั่วโลก โดยเป็น Nissan March 65% และ Nissan Almera 35%
สัดส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศ และ ส่งออก พอดีกันที่ 50% : 50% นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวรุ่นพิเศษ Limited Edition อีกครั้ง ฉลองในโอกาสนี้
ล่าสุด มีข่าวคราวว่า Nissan ประเทศไทย เตรียมยุติการผลิต Nissan March รหัส K13 อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายในปี 2022 นี้ ! ถือเป็นการปิดตำนาน อีโค่คาร์คันแรกของประเทศไทย ที่ขายมาอย่างยาวนาน 12 ปี ตั้งแต่ 12 มีนาคม 2010
นอกจาก Nissan March ที่จะยุติการผลิตแล้ว Nissan Note ก็เตรียมจะยุติการผลิตด้วยเช่นกัน ภายในปี 2022 นี้ โดยทั้งคู่ต่างใช้เครื่องยนต์เดียวกันคือ รหัส HR12DE เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 1,198 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 พละกำลังสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 106 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า รองรับน้ำมันสูงสุด E20
ปัจจุบันในปี 2022 Nissan March เหลือจำหน่ายอยู่ 4 รุ่นย่อย ดังนี้
- 1.2 S MT 420,000 บาท
- 1.2 E MT 480,000 บาท
- 1.2 E CVT 495,000 บาท
- 1.2 EL CVT 510,000 บาท
12 ปี ผ่านไป…จากปี 2010 ถึงปี 2022 ถือเป็นการเดินทางที่ยาวนานสำหรับรถ 1 โมเดล ในบ้านเราเลยทีเดียวครับ
เรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดโดย www.autolifethailand.tv